Stay updated with
the latest trends at Yes! Blog.

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจ คำว่า “API” กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในวงการไอที การตลาด และการพัฒนาธุรกิจ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่า API คืออะไร และทำไมถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจยุคใหม่ขาดไม่ได้ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับ API ตั้งแต่พื้นฐาน ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ในธุรกิจและการตลาดออนไลน์     API คืออะไร? ความหมายและพื้นฐานที่ควรรู้ API หรือ Application Programming Interface หรือส่วนเชื่อมต่อโปรแกรมประยุกต์ เป็นชุดของโค้ดที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างซอฟต์แวร์หรือระบบที่แตกต่างกัน ช่วยให้ระบบเหล่านั้นสามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ แม้จะถูกพัฒนามาจากเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน   ประเภทของ API ปัจจุบันมี API หลายประเภทที่ถูกใช้งานในโลกดิจิทัล แต่ละประเภทมีจุดเด่นและการใช้งานที่แตกต่างกันดังนี้   Private API – เป็น API ที่ใช้งานภายในองค์กรหรือภายในระบบที่ได้รับอนุญาตเฉพาะเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ระบบหรือบุคคลภายนอกเข้าถึงได้   Partner API – เป็น API ที่ใช้งานหรือให้บริการได้แค่คู่ค้าทางธุรกิจเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากร ข้อมูล หรือบริการ…

ในโลกการตลาดดิจิทัลที่แข่งขันสูง ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ต้องค้นหาช่องทางที่จะพาตัวเองไปอยู่ในสายตาของลูกค้าให้ได้มากที่สุด และ Google Display Network หรือ GDN ก็เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้แบรนด์ปรากฏตัวต่อหน้าผู้ชมกลุ่มเป้าหมายด้วยโฆษณารูปแบบที่หลากหลาย ซึ่งการทำโฆษณาออนไลน์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปรากฏในผลการค้นหาของ Google อีกต่อไป เพราะ GDN ช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ในการสื่อสารกับลูกค้าผ่านเว็บไซต์นับล้านทั่วโลก และบทความนี้จะพาคุณเจาะลึกความเข้าใจเกี่ยวกับ Google Display Network และวิธีใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจของคุณ     GDN คืออะไร?     Google Display Network คือเครือข่ายเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และวิดีโอมากกว่า 2 ล้านแห่งที่ร่วมมือกับ Google เพื่อแสดงโฆษณา ซึ่งเครือข่ายนี้ครอบคลุมกว่า 90% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก ทำให้แบรนด์สามารถแสดงโฆษณาภาพ วิดีโอ และข้อความไปยังผู้ชมในวงกว้างได้   เมื่อคุณใช้ GDN เท่ากับว่าคุณกำลังจ่ายเงินเพื่อให้โฆษณาของคุณปรากฏบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ Google มีความร่วมมือด้วย ไม่ว่าจะเป็นบล็อก…

โลกของการค้าขายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กระแสการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ e-Commerce กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด แล้ว e-Commerce คืออะไร? ทำไมจึงมีความสำคัญ? และหากคุณต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ควรเริ่มอย่างไร? บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโลกของ e-Commerce และเส้นทางสู่ความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์     e-Commerce คืออะไร?     e-Commerce หรือ Electronic Commerce หมายถึงการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีอินเทอร์เน็ตเป็นตัวกลาง ธุรกรรมเหล่านี้รวมถึงการถ่ายโอนข้อมูล เงิน และการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย การชำระเงิน และการส่งมอบสินค้าหรือบริการ   เมื่อพูดถึง e-Commerce หลายคนมักนึกถึงการซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน แต่ความจริงแล้ว e-Commerce ครอบคลุมกิจกรรมทางธุรกิจมากมายที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การบริการหลังการขาย และกิจกรรมอื่น ๆ ที่สนับสนุนการซื้อขาย   ความแตกต่างระหว่าง e-Commerce กับการค้าขายแบบดั้งเดิม ขอบเขตการเข้าถึง – ร้านค้าทั่วไปมีขอบเขตจำกัดตามพื้นที่ทางกายภาพ แต่ e-Commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกได้ตลอด 24…

ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การมีเว็บไซต์ขายของเป็นของตัวเองกลายเป็นอาวุธสำคัญสำหรับผู้ประกอบการทุกระดับ แม้คุณจะเป็นมือใหม่ที่ไม่มีความรู้ด้านการเขียนโค้ด คุณก็สามารถสร้างเว็บไซต์ขายของได้ด้วยตัวเอง บทความนี้จะพาคุณเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้นจนมีเว็บไซต์ที่พร้อมขายสินค้าและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจของคุณ     ทำไมธุรกิจออนไลน์ควรมีเว็บไซต์ขายของของตัวเอง     เมื่อพูดถึงการขายสินค้าออนไลน์ หลายคนมักนึกถึงการเปิดร้านบนแพลตฟอร์มตลาดกลางอย่าง Shopee หรือ Lazada แต่การมีเว็บไซต์ขายของเป็นของตัวเองกลับมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด เพราะการมีเว็บไซต์ของตัวเองเปรียบเสมือนคุณมีบ้านหลังใหญ่บนโลกออนไลน์ที่คุณสามารถออกแบบ ตกแต่ง และจัดการได้ทุกอย่างตามใจ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแพลตฟอร์มใด และได้เป็นเจ้าของทุกอย่าง ตั้งแต่ชื่อโดเมน (Domain Name) ฐานข้อมูลลูกค้า ไปจนถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้ซื้อ   เมื่อเปรียบเทียบกับการขายผ่านตลาดกลาง (Marketplace) เว็บไซต์ส่วนตัวมีข้อได้เปรียบหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ได้เก็บฐานข้อมูลลูกค้าไว้ใช้ทำการตลาดต่อ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเนื่องจากการมีเว็บไซต์ และได้ออกแบบประสบการ์ซื้อขายอยบ่างอิสระด้วยตัวเอง     ขั้นตอนเตรียมตัวก่อนสร้างเว็บไซต์ขายของ การเตรียมตัวที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ก่อนลงมือสร้างเว็บไซต์ คุณควรวางแผนอย่างรอบคอบในด้านต่าง ๆ ดังนี้   1. กำหนดเป้าหมายและกลุ่มลูกค้า เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่าเว็บไซต์ของคุณจะตอบโจทย์ใคร คุณต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ สิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญเมื่อซื้อสินค้า เพราะเมื่อเข้าใจกลุ่มเป้าหมายแล้ว คุณจะสามารถออกแบบเว็บไซต์ที่ตรงใจลูกค้าได้มากขึ้น   2….

ในโลกการตลาดดิจิทัลที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น นักการตลาดต้องติดตามผลลัพธ์จากการลงทุนโฆษณาได้อย่างแม่นยำ ROAS และ ROI คือตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าเงินที่จ่ายไปนั้นสร้างผลตอบแทนกลับมามากน้อยเพียงใด ถึงแม้ทั้งสองตัวชี้วัดจะมุ่งวัดผลตอบแทนจากการลงทุน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญและมีบทบาทเฉพาะในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพทางการตลาด บทความนี้จะไขความกระจ่างเกี่ยวกับตัวชี้วัดทั้งสองตัวนี้พร้อมเคล็ดลับการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจของคุณ     ROAS คืออะไร?   ROAS หรือ Return on Ad Spend คือตัวชี้วัดที่บอกว่าทุก 1 บาทที่คุณใช้จ่ายไปกับการโฆษณา สามารถสร้างรายได้กลับมาเท่าไร โดยแสดงผลในรูปแบบอัตราส่วน เช่น 3:1 หรือ 300% หมายความว่าทุก 1 บาทที่ลงทุนไปกับการโฆษณา สร้างรายได้กลับมา 3 บาท   ตัวชี้วัดนี้เป็นเครื่องมือที่นักการตลาดใช้ประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาโดยเฉพาะ โดยมุ่งเน้นไปที่การวัดผลในระยะสั้นและช่วยตัดสินใจว่าควรปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การโฆษณาอย่างไร   ตัวชี้วัด ROAS มีความสำคัญยังไง? ROAS มีความสำคัญต่อธุรกิจ เพราะเป็นเครื่องมือวัดความคุ้มค่าของแคมเปญโฆษณาแต่ละช่องทางที่ช่วยจัดสรรงบประมาณโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ โดยสามารถระบุแคมเปญที่ทำกำไรได้และแคมเปญที่ควรปรับปรุง ซึ่งทำให้เห็นภาพรวมว่าแพลตฟอร์มไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุด     วิธีคำนวณ ROAS การคำนวณ ROAS นั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยใช้สูตร…

ข้อความการตลาดรูปแบบเดิม ๆ เริ่มถูกเพิกเฉยมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผู้บริโภคได้เจอกับโฆษณาจำนวนมากปรากฏบนหน้าจอ ปัญหานี้ทำให้เกิดแนวคิด Contextual Marketing หรือเรียกได้อีกแบบว่าการตลาดตามบริบท ซึ่งเป็นแนวคิดที่เปลี่ยนวิธีการที่ธุรกิจสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายด้วยการยิงข้อความที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะ และสถานที่ที่ถูกต้อง บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงวิธีที่ Contextual Marketing กำลังปฏิวัติวงการการตลาดดิจิทัล     Contextual Marketing คืออะไร?     Contextual Marketing คือการทำการตลาดโดยพิจารณาบริบทแวดล้อมของผู้บริโภคในขณะนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่กำลังอ่าน ค้นหา หรือสนใจอยู่ เพื่อส่งมอบข้อความหรือโฆษณาที่สอดคล้องกับความต้องการปัจจุบัน แทนที่จะยิงโฆษณาแบบไร้ทิศทาง แนวคิดนี้เป็นกลยุทธ์ที่วิเคราะห์สภาพแวดล้อมดิจิทัลของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ เช่น เว็บไซต์ที่กำลังเยี่ยมชม เนื้อหาที่กำลังดู หรือแม้แต่สภาพอากาศในพื้นที่นั้น และใช้ข้อมูลเหล่านี้ส่งโฆษณาหรือข้อความที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่ผู้บริโภคกำลังสนใจ   ลองนึกภาพว่าคุณกำลังอ่านบทความเกี่ยวกับการดูแลผิวในหน้าร้อน แล้วเห็นโฆษณาครีมกันแดดปรากฏขึ้นมา นี่คือตัวอย่างง่าย ๆ ของการทำ Contextual Marketing ที่เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์เข้ากับบริบทของเนื้อหาที่คุณกำลังบริโภค   จุดเด่นที่แตกต่างจากการตลาดทั่วไป การตลาดแบบดั้งเดิมมักเน้นการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มคนกว้าง ๆ โดยหวังว่าจะมีบางคนสนใจ แต่ Contextual Marketing…

การสร้างความสำเร็จทางธุรกิจในยุคดิจิทัลไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย แต่เป็นศาสตร์และศิลป์ของการเข้าใจคนที่เราต้องการสื่อสารด้วยอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ หรือนักการตลาดในบริษัทใหญ่ก็ตาม สิ่งที่สำคัญก็คือผู้รับสารเป็นใคร หรือเรียกได้อีกอย่างว่า Target Audience (กลุ่มเป้าหมาย) ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น พร้อมกับวิธีหา Target Audience เพื่อการนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจของคุณ   Target Audience คืออะไร?   Target Audience หรือกลุ่มเป้าหมาย คือกลุ่มคนที่ธุรกิจหรือแบรนด์ต้องการสื่อสารด้วยโดยตรง เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะสนใจสินค้าหรือบริการของเรา และมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นลูกค้า โดยจะมีลักษณะร่วมกันบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ รายได้ ความสนใจ พฤติกรรม หรือความต้องการที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งการกำหนด Target Audience ที่ชัดเจนจะช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบกลยุทธ์การตลาดที่ตรงจุด พัฒนาสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับความต้องการจริง ๆ อีกทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณทางการตลาดและสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า   Target Audience vs. Target Market หลายคนมักสับสนระหว่าง Target Audience และ Target Market เพราะทั้งสองคำมีความใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญ  …

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินทรัพย์มีค่า การโจมตีทางไซเบอร์แบบ Phishing เปรียบเสมือนโจรที่แฝงตัวในโลกออนไลน์ พร้อมหลอกล่อเหยื่อด้วยเทคนิคที่แยบยลที่อาจทำให้คุณสูญเสียข้อมูลสำคัญไปในพริบตาเพียงคลิกเดียว บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับการโจมตีรูปแบบดังกล่าว พร้อมวิธีสังเกตเพื่อให้รู้เท่าทันและแนวทางการป้องกันการตกเป็นเหยื่อ   Phishing คืออะไร?   Phishing เป็นเทคนิคการหลอกลวงทางไซเบอร์ที่ผู้ไม่หวังดีสวมรอยเป็นองค์กรหรือบุคคลที่น่าเชื่อถือ เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นรหัสผ่าน หมายเลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ซึ่งคำว่า “Phishing” มาจากคำว่า “fishing” ในภาษาอังกฤษ สื่อถึงการใช้เหยื่อล่อเพื่อตกปลา เช่นเดียวกับที่แฮกเกอร์ใช้ข้อความหรืออีเมลล่อหลอกเพื่อ “ตกปลา” เอาข้อมูลจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ต Phishing เป็นรูปแบบของอาชญากรรมไซเบอร์ที่อาศัยวิศวกรรมสังคม (Social Engineering) มาหลอกล่อเหยื่อ ผู้โจมตีจะปลอมแปลงตัวเองให้เหมือนกับแหล่งที่เชื่อถือได้ในการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล ข้อความ หรือเว็บไซต์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อขโมยข้อมูลที่มีค่าและนำไปใช้ในทางที่ผิด   Phishing เป็นยังไง? การโจมตีแบบ Phishing มักมีลักษณะเฉพาะที่สามารถสังเกตได้ดังนี้ การสร้างความเร่งด่วน – มักสร้างสถานการณ์เร่งด่วนให้ผู้ใช้ต้องรีบดำเนินการ เช่น “บัญชีของคุณกำลังจะถูกระงับ กรุณายืนยันข้อมูลภายใน 24 ชั่วโมง” การปลอมแปลงที่อยู่อีเมลหรือเว็บไซต์ – ใช้ชื่อโดเมนที่คล้ายกับองค์กรจริง…

โลกการตลาดเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคำศัพท์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา การเข้าใจภาษาเฉพาะทางเหล่านี้ไม่เพียงแค่ช่วยในการสื่อสาร แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยผลักดันธุรกิจให้เติบโตในยุคดิจิทัล บทความนี้รวบรวมคำศัพท์การตลาด 200 คำที่จำเป็นสำหรับนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจในปี 2025   ทำไมต้องรู้ศัพท์การตลาด?     ยุคดิจิทัลทำให้วงการการตลาดเต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะทางมากมาย โดยเฉพาะศัพท์ภาษาอังกฤษที่เข้ามาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เจ้าของธุรกิจที่เข้าใจศัพท์เหล่านี้จะตัดสินใจเลือกกลยุทธ์การตลาดได้อย่างชาญฉลาด ขณะที่นักการตลาดที่รู้ศัพท์เหล่านี้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและเทรนด์ใหม่ ๆ ได้ทันท่วงที   แม้แต่การอ่านบทความการตลาดหรือรายงานวิจัย การรู้ศัพท์เฉพาะทางช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทักษะและความรู้ทางการตลาด   เพิ่มศักยภาพการสื่อสารภายในทีมและกับลูกค้า   การรู้ศัพท์การตลาดช่วยให้คุณสื่อสารกับทีมได้อย่างตรงประเด็น ลดความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น เมื่อต้องพูดคุยกับเอเจนซี่หรือที่ปรึกษาด้านการตลาด ความรู้เรื่องศัพท์ช่วยให้คุณเข้าใจข้อเสนอและแผนงานของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น     หมวดที่ 1 – ศัพท์พื้นฐานทางการตลาด     ก่อนจะก้าวไปสู่คำศัพท์ซับซ้อน เรามาเริ่มต้นจากพื้นฐานกันก่อน คำศัพท์ในหมวดนี้เป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในการวางแผนการตลาดและการสื่อสารทางธุรกิจ   คำที่ใช้ทั่วไปในการวางแผนการตลาด   Target Audience – ลูกค้ากลุ่มที่ธุรกิจมุ่งเน้นเข้าถึง Market Share – เปอร์เซ็นต์ของตลาดที่ธุรกิจครอบครอง Competitor…

โลกการตลาดปัจจุบันไม่อาจแยกขาดระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ได้อีกต่อไป เมื่อผู้บริโภคยุคใหม่ใช้ชีวิตสลับไปมาระหว่างสองโลกนี้อย่างไร้รอยต่อ กลยุทธ์ O2O Marketing จึงเกิดขึ้นเพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์ลูกค้าให้เป็นหนึ่งเดียว บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับกลยุทธ์นี้ให้มากขึ้นพร้อมกับการนำไปประยุกต์ใช้งานให้เข้ากับธุรกิจของคุณ     O2O Marketing คืออะไร     O2O Marketing หรือ Online to Offline Marketing คือกลยุทธ์ทางการตลาดที่เชื่อมโยงโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันเพื่อสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้าตลอดเส้นทางการซื้อสินค้า ไม่ว่าพวกเขาจะเริ่มต้นจากช่องทางไหนก็ตาม   ที่มาของคำว่า O2O แนวคิดนี้เริ่มปรากฏชัดในช่วงปี 2010 เมื่อร้านค้าได้เผชิญความท้าทายจากการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ คำว่า “Online to Offline” จึงสะท้อนการเคลื่อนที่ของลูกค้าจากการค้นหาข้อมูลในโลกออนไลน์ ไปสู่การตัดสินใจซื้อที่ร้านค้าจริง   ต่อมา ความหมายได้พัฒนาเป็น “Offline to Online” ด้วย เมื่อธุรกิจพบว่าลูกค้าอาจเริ่มต้นจากการเยี่ยมชมร้านค้าจริง แล้วจึงตัดสินใจซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ในภายหลัง ทำให้ปัจจุบัน O2O หมายถึงการเชื่อมโยงสองโลกนี้เข้าด้วยกัน   O2O Marketing มีแนวคิดยังไง? หัวใจของแนวคิดนี้คือการมองว่าออนไลน์และออฟไลน์ไม่ใช่คู่แข่งกัน แต่เป็นพลังเสริมที่ผสานกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบให้ลูกค้า และตั้งอยู่บนความเข้าใจดังนี้ ลูกค้ายุคใหม่ไม่ได้แบ่งแยกโลกออนไลน์และออฟไลน์อย่างชัดเจน…

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน หลายธุรกิจต่างมองหากลยุทธ์ที่จะช่วยสร้างความแตกต่างและรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ Customer Engagement หรือการสร้างความผูกพันกับลูกค้า เป็นแนวคิดสำคัญที่หลายแบรนด์ให้ความสนใจ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้และประโยชน์ที่แท้จริงของกลยุทธ์นี้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Customer Engagement คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และธุรกิจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไรบ้าง     Customer Engagement คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ?   รูปภาพจาก : KnowMax   Customer Engagement คือการสร้างปฏิสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้าผ่านกิจกรรมหรือช่องทางต่าง ๆ หลังจากที่มีการวางระบบ CRM อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและความจงรักภักดีต่อแบรนด์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงการขายสินค้าหรือบริการเท่านั้น แต่รวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตั้งแต่การค้นหาข้อมูล การตัดสินใจซื้อ ไปจนถึงการบริการหลังการขาย   นอกจากนี้ Customer Engagement ยังมีความสำคัญต่อธุรกิจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้า สร้างผู้สนับสนุนแบรนด์ เพิ่มมูลค่าของลูกค้าตลอดอายุการเป็นลูกค้า สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และการรับข้อมูลเชิงลึกจากลูกค้า     ปัจจัยที่ช่วยเสริมสร้าง Customer Engagement   การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความผูกพันกับลูกค้า…

AI Chatbot กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่หลายธุรกิจเริ่มหันมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณต้องการวิธีที่จะสร้างประสบการณ์ดี ๆ ให้กับลูกค้าโดยที่ไม่เพิ่มภาระให้กับทีมงาน การเลือกใช้ AI Chatbot ก็เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าของคุณ และยังทำให้คุณดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการได้อย่างราบรื่น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักตั้งแต่เรื่องพื้นฐานของ AI Chatbot ไปจนถึงแนวทางการเลือกใช้เครื่องมือ ที่คุณอาจนำประยุกต์ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเองได้     AI Chatbot คืออะไร ?   AI Chatbot คือ โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อจำลองการสนทนาของมนุษย์โดยใช้เทคโนโลยี AI ที่สามารถเรียนรู้ แก้ไขปัญหา และทำงานได้เหมือนมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูล วางแผน และให้ไอเดียได้ อีกทั้งยังมีการจดจำ แยกแยะ และมีการใช้เหตุและผลประกอบการตัดสินใจได้อีกด้วย เป็นเทคโนโลยีที่หลาย ๆ ธุรกิจนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน   และคำว่า “Chatbot” มาจากการรวมกันของคำว่า “Chat” (การสนทนา) และ “Robot” (หุ่นยนต์) เทคโนโลยีนี้ พัฒนาขึ้นเพื่อโต้ตอบกับผู้ใช้งานผ่านข้อความหรือเสียง โดยเริ่มต้นจากการทำหน้าที่ตอบคำถามหรือให้ข้อมูลตามที่ตั้งค่าไว้ในระบบ ซึ่งการตอบสนองของ AI Chatbot…

Stop letting your competitors outrank you.