วิธีสร้างเว็บไซต์ขายของ มือใหม่ก็ทำได้ พร้อมเทคนิคทำเว็บ

บทความโดย Yes Web Design Studio

วิธีสร้างเว็บไซต์ขายของ มือใหม่ก็ทำได้ พร้อมเทคนิคทำเว็บ
Table of Contents

ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การมีเว็บไซต์ขายของเป็นของตัวเองกลายเป็นอาวุธสำคัญสำหรับผู้ประกอบการทุกระดับ แม้คุณจะเป็นมือใหม่ที่ไม่มีความรู้ด้านการเขียนโค้ด คุณก็สามารถสร้างเว็บไซต์ขายของได้ด้วยตัวเอง บทความนี้จะพาคุณเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้นจนมีเว็บไซต์ที่พร้อมขายสินค้าและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจของคุณ

 

 

ทำไมธุรกิจออนไลน์ควรมีเว็บไซต์ขายของของตัวเอง

 

ทำไมธุรกิจออนไลน์ควรมีเว็บไซต์ขายของของตัวเอง

 

เมื่อพูดถึงการขายสินค้าออนไลน์ หลายคนมักนึกถึงการเปิดร้านบนแพลตฟอร์มตลาดกลางอย่าง Shopee หรือ Lazada แต่การมีเว็บไซต์ขายของเป็นของตัวเองกลับมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด เพราะการมีเว็บไซต์ของตัวเองเปรียบเสมือนคุณมีบ้านหลังใหญ่บนโลกออนไลน์ที่คุณสามารถออกแบบ ตกแต่ง และจัดการได้ทุกอย่างตามใจ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแพลตฟอร์มใด และได้เป็นเจ้าของทุกอย่าง ตั้งแต่ชื่อโดเมน (Domain Name) ฐานข้อมูลลูกค้า ไปจนถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้ซื้อ

 

เมื่อเปรียบเทียบกับการขายผ่านตลาดกลาง (Marketplace) เว็บไซต์ส่วนตัวมีข้อได้เปรียบหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ได้เก็บฐานข้อมูลลูกค้าไว้ใช้ทำการตลาดต่อ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเนื่องจากการมีเว็บไซต์ และได้ออกแบบประสบการ์ซื้อขายอยบ่างอิสระด้วยตัวเอง

 

 

ขั้นตอนเตรียมตัวก่อนสร้างเว็บไซต์ขายของ

การเตรียมตัวที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ก่อนลงมือสร้างเว็บไซต์ คุณควรวางแผนอย่างรอบคอบในด้านต่าง ๆ ดังนี้

 

1. กำหนดเป้าหมายและกลุ่มลูกค้า

เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่าเว็บไซต์ของคุณจะตอบโจทย์ใคร คุณต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ สิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญเมื่อซื้อสินค้า เพราะเมื่อเข้าใจกลุ่มเป้าหมายแล้ว คุณจะสามารถออกแบบเว็บไซต์ที่ตรงใจลูกค้าได้มากขึ้น

 

2. วางแผนสินค้าและบริการที่จะขาย

ระบุสินค้าที่คุณจะขายให้ชัดเจน พร้อมทั้งวางโครงร่างการจัดหมวดหมู่ ตั้งแต่หมวดหมู่หลัก ไปจนถึงหมวดหมู่ย่อย คิดถึงวิธีนำเสนอสินค้าแต่ละชนิด ข้อมูลสำคัญที่ลูกค้าต้องรู้ และจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง

 

นอกจากนี้ คุณควรเตรียมภาพถ่ายสินค้าคุณภาพดี คำอธิบายสินค้าที่กระชับและเข้าใจง่าย รวมถึงนโยบายการส่งสินค้าและรับคืนสินค้าที่ชัดเจน

 

3. คำนวณงบประมาณและทรัพยากรที่มี

สร้างเว็บไซต์ให้สำเร็จต้องใช้ทั้งเงินและเวลา คุณควรประเมินงบประมาณและทรัพยากรที่มีล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นค่าจดโดเมน ค่าเช่าโฮสติ้ง ค่าธีม เทมเพลต หรือปลั๊กอิน เวลาที่ใช้ในการสร้างและบริหารจัดการเว็บไซต์ ทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็น เช่น การออกแบบ การเขียนคอนเทนต์ การถ่ายภาพ หากงบประมาณจำกัด สามารถอาจเริ่มต้นจากแพลตฟอร์มฟรีหรือราคาประหยัด แล้วค่อย ๆ อัพเกรดในอนาคต

 

 

วิธีเลือกแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่เหมาะสม

การเลือกแพลตฟอร์มที่ใช่เป็นก้าวสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของเว็บไซต์คุณ มีหลายตัวเลือกให้พิจารณา แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดแข็งและข้อจำกัดต่างกัน

 

แนะนำแพลตฟอร์มยอดนิยม

 

 

WordPress + WooCommerce

 

แนะนำแพลตฟอร์มยอดนิยม - WordPress + WooCommerce

 

 WordPress เป็นระบบจัดการเนื้อหาที่ใช้งานง่ายและยืดหยุ่นสูง เมื่อติดตั้งปลั๊กอิน WooCommerce จะทำให้คุณสามารถเปลี่ยนเว็บไซต์ธรรมดาให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์เต็มรูปแบบได้

 

Website : https://wordpress.com/ 

 

อ่านบทความเพิ่มเติม : WordPress ข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง? ในปี 2025 ยังน่าสนใจอยู่ไหม

 

 

Shopify

 

แนะนำแพลตฟอร์มยอดนิยม - Shopify

 

Shopify คืออะไร? แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อการขายสินค้าโดยเฉพาะ ครบวงจรตั้งแต่การจัดการสินค้า ระบบชำระเงิน ไปจนถึงการจัดส่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกและไม่มีความรู้ด้านเทคนิค

 

Website : https://www.shopify.com/th

 

 

Wix

 

แนะนำแพลตฟอร์มยอดนิยม - Wix

 

มีเครื่องมือออกแบบแบบลากและวาง (drag-and-drop) ที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสวยงามของเว็บไซต์

 

Website : https://www.wix.com/ 

 

 

Magento

 

แนะนำแพลตฟอร์มยอดนิยม - Magento

 

แพลตฟอร์มที่มีความสามารถสูงสำหรับร้านค้าขนาดใหญ่ มีฟีเจอร์ครบครัน แต่มีความซับซ้อนในการใช้งาน เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีสินค้าจำนวนมาก

 

Website : https://www.wix.com/

 

 

 

ข้อเปรียบเทียบแต่ละแพลตฟอร์ม

การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเป็นหนึ่งในการตัดสินใจสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของร้านค้าออนไลน์คุณ แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดแข็งและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน เราจะพาไปสำรวจตัวเลือกยอดนิยม

 

WordPress + WooCommerce

คือทางเลือกที่ยืดหยุ่นสูงสุด เปรียบเหมือนการสร้างบ้านที่คุณสามารถปรับแต่งได้ทุกตารางนิ้ว เริ่มต้นฟรี (ไม่รวมโฮสติ้ง) และเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมทุกรายละเอียด ธุรกิจแฟชั่นรายหนึ่งเริ่มต้นจาก WordPress ธรรมดาและเติบโตเป็นร้านค้าที่มียอดขายล้านบาทต่อเดือน โดยค่อย ๆ เพิ่มฟีเจอร์ตามการเติบโตของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม คุณต้องดูแลความปลอดภัยเองและอาจต้องใช้เวลาเรียนรู้ระบบในช่วงแรก

 

Shopify

มอบประสบการณ์แบบครบวงจร เหมือนการเช่าร้านค้าที่ตกแต่งพร้อมและมีระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ด้วยค่าบริการเริ่มต้นที่ $29 ต่อเดือน ผู้ประกอบการมือใหม่จึงสามารถเปิดร้านได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ร้านขายสินค้าแฮนด์เมดหลายแห่งเลือก Shopify เพราะต้องการโฟกัสกับการสร้างสรรค์สินค้ามากกว่าการจัดการเทคนิคของเว็บไซต์ แต่ต้องยอมรับข้อจำกัดในการปรับแต่งและค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเพิ่มเติม

 

Wix 

โดดเด่นด้านความง่ายในการออกแบบ เหมือนมีนักออกแบบส่วนตัวคอยช่วยเหลือคุณ ด้วยเครื่องมือลากและวางที่ใช้งานง่าย แม้ผู้ที่ไม่มีทักษะการออกแบบก็สามารถสร้างเว็บไซต์ที่สวยงามได้ ผู้ประกอบการด้านศิลปะและงานออกแบบมักชื่นชอบ Wix เพราะรองรับการแสดงผลงานในรูปแบบที่สวยงาม แต่ข้อเสียคือเมื่อเริ่มใช้งานแล้ว การย้ายแพลตฟอร์มในอนาคตอาจทำได้ยาก

 

Magento

เป็นเหมือนเครื่องมือระดับมืออาชีพสำหรับร้านค้าที่มีสินค้าจำนวนมากและมีความซับซ้อนสูง แม้จะเป็นโอเพนซอร์สและสามารถใช้งานฟรี (ไม่รวมโฮสติ้ง) แต่การตั้งค่าและดูแลรักษาต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค ร้านค้าออนไลน์ขนาดใหญ่หลายแห่งเลือก Magento เพราะสามารถรองรับสินค้าได้หลายพันรายการ พร้อมระบบจัดการสต็อกและโปรโมชั่นที่ซับซ้อน

 

การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมควรพิจารณาจากปัจจัยหลายด้าน เช่น ขนาดธุรกิจ ทักษะที่มี งบประมาณ และเป้าหมายระยะยาว เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักเริ่มต้นจากแพลตฟอร์มที่เหมาะกับขนาดธุรกิจปัจจุบัน แล้วค่อยพิจารณาอัพเกรดเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น

 

 

เริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ขายของด้วยตนเอง

หลังจากเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมแล้ว มาเริ่มสร้างเว็บไซต์กันเลย ตามขั้นตอนดังนี้

 

1. จด Domain Name ที่น่าเชื่อถือ

Domain Name คืออะไร? โดเมนเนมคือชื่อเว็บไซต์ของคุณ (เช่น yourshop.com) ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ลูกค้าเห็นและจดจำ การเลือกโดเมนเนมที่ดีควรคำนึงถึงปัจจัยดังนี้

  • สั้น จดจำง่าย และเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขและเครื่องหมายขีดกลาง
  • ควรใช้นามสกุล .com, .co.th หรือ .shop ที่ดูเป็นทางการ
  • ตรวจสอบว่าไม่ละเมิดเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น

 

2. เลือก Hosting ที่รองรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

โฮสติ้งคือพื้นที่บนเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บไฟล์เว็บไซต์ของคุณ การเลือกโฮสติ้งที่ดีควรพิจารณา

  • ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
  • อัตราการ Uptime สูง 
  • ความจุพื้นที่และแบนด์วิดท์เพียงพอ
  • ระบบรักษาความปลอดภัย SSL
  • ระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ
  • การรองรับเทคโนโลยีที่แพลตฟอร์มของคุณต้องการ

 

ผู้ให้บริการโฮสติ้งที่น่าเชื่อถือ เช่น SiteGround, Bluehost หรือ HostGator มีแพ็กเกจสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ

 

3. ออกแบบหน้าเว็บให้น่าใช้งาน (UX/UI)

การออกแบบ ux/ui ที่ดีช่วยให้ลูกค้าใช้งานเว็บไซต์ได้สะดวกและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น หลักการออกแบบที่ควรคำนึงถึงการจัดวางปุ่มและเมนูที่เข้าถึงง่าย การแสดงผลที่รองรับทุกอุปกรณ์ การใช้สีที่สอดคล้องกับแบรนด์ ซึ่งแพลตฟอร์มส่วนใหญ่จะมีเทมเพลตสำเร็จรูปที่ออกแบบมาอย่างดี คุณสามารถเลือกและปรับแต่งให้เข้ากับแบรนด์ของคุณได้

 

4. ลงสินค้า จัดหมวดหมู่ และใส่รายละเอียดให้ครบถ้วน

 การลงสินค้าอย่างมีระบบจะช่วยให้ลูกค้าค้นหาและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น โดยควรดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

  • จัดหมวดหมู่สินค้าอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าได้สะดวก
  • ถ่ายภาพสินค้าคุณภาพดี จากหลายมุม เพื่อแสดงรายละเอียดอย่างครบถ้วน
  • เขียนคำอธิบายสินค้าที่ชัดเจน ครบถ้วน และดึงดูดใจ โดยเน้นจุดเด่นและประโยชน์ของสินค้า
  • ระบุข้อมูลสำคัญ เช่น ขนาด สี วัสดุ และวิธีการดูแลรักษา
  • ใส่ราคาสินค้าอย่างชัดเจน และระบุตัวเลือกเพิ่มเติม เช่น สีหรือขนาด (ถ้ามี)
  • กำหนด SEO Tags ให้เหมาะสม เพื่อให้สินค้าติดอันดับผลการค้นหา

 

แนะนำให้อัปโหลดสินค้าเป็นชุดใหญ่ในคราวเดียว แทนการทยอยลงทีละชิ้น เพื่อประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ

 

5. ตั้งค่าระบบตะกร้าสินค้าและช่องทางชำระเงิน

ระบบการชำระเงินที่ใช้งานง่ายและปลอดภัยถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ซึ่งควรมีองค์ประกอบดังนี้

  • ระบบตะกร้าสินค้าที่ใช้งานง่าย ลูกค้าสามารถเพิ่มหรือลบสินค้าได้สะดวก
  • รองรับช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต การโอนเงินผ่านธนาคาร หรือ e-wallet
  • มีระบบความปลอดภัย SSL เพื่อป้องกันข้อมูลส่วนตัวและการชำระเงิน
  • ขั้นตอนการสั่งซื้อควรสั้น กระชับ และไม่ซับซ้อน
  • แสดงค่าจัดส่งและภาษีอย่างชัดเจน เพื่อความโปร่งใสในการตัดสินใจ

 

 

ฟีเจอร์สำคัญที่เว็บไซต์ขายของควรมี

นอกจากระบบพื้นฐานแล้ว เว็บไซต์ขายของที่ดีควรมีฟีเจอร์เหล่านี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

 

ระบบแชทหรือแบบฟอร์มติดต่อ

ลูกค้ามักมีคำถามก่อนตัดสินใจซื้อ การมีช่องทางติดต่อที่สะดวกและรวดเร็วจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย คุณสามารถติดตั้งระบบแชทอัตโนมัติหรือแชทสด หรืออย่างน้อยก็ควรมีแบบฟอร์มติดต่อที่ตอบกลับเร็ว

 

ระบบติดตามออเดอร์

เมื่อลูกค้าสั่งซื้อแล้ว พวกเขาต้องการรู้ว่าสินค้าอยู่ในขั้นตอนไหน ระบบติดตามออเดอร์ที่ดีจะช่วยลดการสอบถามและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า โดยแสดงสถานะต่าง ๆ เช่น กำลังจัดเตรียมสินค้า อยู่ระหว่างจัดส่ง และจัดส่งสำเร็จแล้ว

 

การตั้งค่าขนส่ง

ระบบขนส่งที่ยืดหยุ่นและโปร่งใสช่วยให้ลูกค้าเลือกวิธีการจัดส่งที่เหมาะกับตนเอง ควรมีตัวเลือกหลากหลาย เช่น การจัดส่งแบบด่วน แบบมาตรฐาน หรือรับที่จุดรับสินค้า พร้อมแสดงค่าจัดส่งและระยะเวลาอย่างชัดเจน

 

การแสดงรีวิวจากลูกค้า

รีวิวเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ การแสดงรีวิวจากลูกค้าจริงช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้า คุณควรเปิดให้ลูกค้าสามารถให้คะแนนและเขียนรีวิวได้ พร้อมทั้งแสดงภาพประกอบจากลูกค้าหากเป็นไปได้

 

ระบบโปรโมชั่นหรือโค้ดส่วนลด

โปรโมชั่นเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระตุ้นยอดขาย ระบบที่ดีควรรองรับโปรโมชั่นหลากหลายรูปแบบ เช่น ส่วนลดตามยอดสั่งซื้อ การซื้อ 1 แถม 1 หรือการใช้โค้ดส่วนลดเฉพาะ และสามารถกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาได้

 

 

เทคนิคโปรโมทเว็บไซต์ให้มีคนเข้าชมและเพิ่มยอดขาย

การสร้างเว็บไซต์ให้เสร็จเป็นเพียงครึ่งทางของความสำเร็จ การโปรโมทให้คนรู้จักและเข้ามาซื้อสินค้าเป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน

 

SEO พื้นฐานสำหรับเว็บไซต์ขายของ

การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหาของ Google ซึ่งเป็นช่องทางที่ผู้คนใช้ค้นหาสินค้าเป็นประจำ ซึ่งเทคนิค SEO พื้นฐานที่ควรทำมีดังนี้

  • วิจัยคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ
  • ใส่คำค้นหาในส่วนสำคัญของเว็บไซต์ เช่น title, heading, URL
  • เขียนคำอธิบายสินค้าที่ครบถ้วนและมีคำค้นหาเกี่ยวข้อง
  • ตั้งชื่อไฟล์รูปภาพและใส่ alt text ที่เกี่ยวข้อง
  • สร้างบทความที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับสินค้าของคุณ
  • ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วและใช้งานง่ายบนมือถือ

 

การยิงโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads / Google Ads)

การโฆษณาออนไลน์เป็นวิธีที่เร็วและมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย แต่ต้องมีงบประมาณ ช่องทางยอดนิยม ได้แก่

 

Facebook Ads

  • เจาะกลุ่มเป้าหมายตามประชากรศาสตร์และความสนใจ
  • สร้างโฆษณาที่ดึงดูดด้วยภาพสวยและข้อความโดนใจ
  • วัดผลและปรับแต่งโฆษณาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

 

Google Ads

  • ลงโฆษณาในผลการค้นหาเมื่อผู้คนค้นหาคำเกี่ยวกับสินค้าของคุณ
  • จ่ายเมื่อมีคนคลิกโฆษณา (Pay Per Click)
  • ตั้งเป้าหมายตามคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจง

 

การยิงโฆษณาควรเริ่มจากงบประมาณที่ไม่สูงนัก แล้วค่อย ๆ เพิ่มเมื่อรู้ว่าโฆษณาแบบไหนได้ผลดี

 

 

การใช้ Social Media และ Content Marketing

Social Media และ Content Marketing เป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างแบรนด์และดึงดูดลูกค้าสู่เว็บไซต์ของคุณ แม้จะไม่ต้องลงทุนมากเท่าการโฆษณาแบบจ่ายเงิน แต่ต้องใช้เวลาและความคิดสร้างสรรค์

 

กลยุทธ์ที่ควรทำ

  • สร้างตารางการโพสต์ที่สม่ำเสมอ เช่น สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง
  • ผสมผสานคอนเทนต์หลากหลาย ทั้งให้ความรู้ บันเทิง และขายสินค้า
  • ใช้ภาพและวิดีโอคุณภาพดี แสดงสินค้าในสถานการณ์จริง
  • ตอบคอมเมนต์และข้อความอย่างรวดเร็ว สร้างชุมชนรอบแบรนด์
  • สร้างแคมเปญที่กระตุ้นให้ผู้ติดตามมีส่วนร่วม เช่น การแข่งขัน หรือการแชร์รูปสินค้าที่ซื้อไป

 

สำหรับ Content Marketing ควรสร้างบทความที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เช่น วิธีใช้ วิธีดูแลรักษา เทรนด์ล่าสุด หรือการเปรียบเทียบกับสินค้าอื่น ซึ่งไม่เพียงช่วยให้ติดอันดับใน Google แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ด้วย

 

การวัดผลเป็นสิ่งสำคัญ คุณควรติดตามว่าคอนเทนต์ไหนได้ผลตอบรับดี และปรับกลยุทธ์ตามข้อมูลที่ได้

 

 

ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อสร้างเว็บไซต์ขายของ

บนเส้นทางการสร้างเว็บไซต์ขายของ มีหลุมพรางที่ผู้ประกอบการมือใหม่มักจะเจอ การรู้จักและหลีกเลี่ยงพวกมันจะช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรได้มาก

 

เว็บโหลดช้า

หากเว็บไซต์โหลดนานเกินก็จะเพิ่มโอกาสที่จะทำให้ลูกค้าปิดเว็บทันที ซึ่งหมายถึงโอกาสในการขายที่หายไป สาเหตุหลักของเว็บโหลดช้า ได้แก่

  • รูปภาพขนาดใหญ่เกินไป ควรบีบอัดให้มีขนาดพอดีกับการแสดงผล
  • มีปลั๊กอินหรือสคริปต์มากเกินความจำเป็น
  • โฮสติ้งคุณภาพต่ำ ไม่รองรับปริมาณการเข้าชม
  • ไม่ได้ใช้ระบบ Cache เพื่อเก็บข้อมูลชั่วคราว

 

เพื่อแก้ปัญหานี้ คุณควรทดสอบความเร็วของเว็บไซต์ด้วยเครื่องมือ เช่น Google PageSpeed Insights และปรับปรุงตามคำแนะนำ

 

ไม่มีความน่าเชื่อถือ

ลูกค้าจะไม่กล้าซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ที่ดูไม่น่าเชื่อถือ ปัจจัยที่ทำให้เว็บขาดความน่าเชื่อถือมีดังนี้

  • ไม่มีข้อมูลติดต่อหรือที่อยู่ชัดเจน
  • ไม่มีนโยบายความเป็นส่วนตัวและเงื่อนไขการใช้งาน
  • ไม่มีใบรับรองความปลอดภัย SSL (ไม่มี https://)
  • การออกแบบดูไม่มืออาชีพ มีข้อผิดพลาดสะกดคำ
  • ไม่มีรีวิวหรือเรื่องราวของลูกค้า

 

ไม่รองรับมือถือ

  • เว็บไซต์ไม่ปรับขนาดตามหน้าจอ (ไม่เป็น Responsive)
  • ปุ่มและลิงก์เล็กเกินไป กดยาก
  • ฟอร์มกรอกข้อมูลซับซ้อนเกินไปสำหรับมือถือ
  • เมนูและโครงสร้างไม่เหมาะกับการใช้งานบนหน้าจอเล็ก

 

วิธีแก้ปัญหา คือเลือกใช้เทมเพลตที่รองรับการแสดงผลบนมือถือ (Mobile Responsive) และทดสอบเว็บไซต์บนอุปกรณ์หลากหลายขนาดก่อนเปิดใช้งานจริง

 

ขาดการอัปเดตข้อมูล

เว็บไซต์ที่ไม่มีการอัปเดตเหมือนร้านค้าที่ปิดไฟ ลูกค้าจะสงสัยว่าร้านยังเปิดอยู่หรือไม่ ปัญหาที่พบบ่อยมีดังนี้

  • สินค้าหมดสต็อกแต่ไม่อัปเดตสถานะ
  • ข้อมูลติดต่อและที่อยู่ล้าสมัย
  • บทความและข่าวสารเก่าเกินไป
  • โปรโมชั่นหมดอายุแต่ยังแสดงอยู่บนเว็บไซต์

 

ร้านค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จจะมีระบบจัดการสต็อกที่ดี และกำหนดเวลาในการอัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เช่น สัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง พร้อมทั้งมีปฏิทินคอนเทนต์และโปรโมชั่นไว้ล่วงหน้า

 

 

สรุป

การสร้างเว็บไซต์ขายของไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แม้คุณจะเป็นมือใหม่ก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง เพียงแค่วางแผนอย่างรอบคอบ เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับธุรกิจ และปฏิบัติตามขั้นตอนที่แนะนำในบทความนี้ ซึ่งการทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จไม่ได้หยุดแค่การสร้าง แต่ต้องโปรโมทให้คนรู้จักผ่าน SEO โฆษณาออนไลน์ และ Social Media พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปเช่นกัน

 

หากคุณกำลังมองหาทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้านการทำเว็บไซต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าของคุณ Yes Web Design Studio พร้อมช่วยคุณ เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทยที่ให้บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress และรับทําเว็บไซต์ e-commerce ครบวงจร รวมไปถึงบริการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์ด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

มีโปรเจกต์ในใจแล้วใช่ไหม ?