ตัวชี้วัด ROAS คืออะไร? ต่างจาก ROI ยังไงบ้าง?

บทความโดย Yes Web Design Studio

ตัวชี้วัด ROAS คืออะไร? ต่างจาก ROI ยังไงบ้าง?
Table of Contents

ในโลกการตลาดดิจิทัลที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น นักการตลาดต้องติดตามผลลัพธ์จากการลงทุนโฆษณาได้อย่างแม่นยำ ROAS และ ROI คือตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าเงินที่จ่ายไปนั้นสร้างผลตอบแทนกลับมามากน้อยเพียงใด ถึงแม้ทั้งสองตัวชี้วัดจะมุ่งวัดผลตอบแทนจากการลงทุน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญและมีบทบาทเฉพาะในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพทางการตลาด บทความนี้จะไขความกระจ่างเกี่ยวกับตัวชี้วัดทั้งสองตัวนี้พร้อมเคล็ดลับการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจของคุณ

 

 

ROAS คืออะไร?

 

ROAS คืออะไร?

ROAS หรือ Return on Ad Spend คือตัวชี้วัดที่บอกว่าทุก 1 บาทที่คุณใช้จ่ายไปกับการโฆษณา สามารถสร้างรายได้กลับมาเท่าไร โดยแสดงผลในรูปแบบอัตราส่วน เช่น 3:1 หรือ 300% หมายความว่าทุก 1 บาทที่ลงทุนไปกับการโฆษณา สร้างรายได้กลับมา 3 บาท

 

ตัวชี้วัดนี้เป็นเครื่องมือที่นักการตลาดใช้ประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาโดยเฉพาะ โดยมุ่งเน้นไปที่การวัดผลในระยะสั้นและช่วยตัดสินใจว่าควรปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การโฆษณาอย่างไร

 

ตัวชี้วัด ROAS มีความสำคัญยังไง?

ROAS มีความสำคัญต่อธุรกิจ เพราะเป็นเครื่องมือวัดความคุ้มค่าของแคมเปญโฆษณาแต่ละช่องทางที่ช่วยจัดสรรงบประมาณโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ โดยสามารถระบุแคมเปญที่ทำกำไรได้และแคมเปญที่ควรปรับปรุง ซึ่งทำให้เห็นภาพรวมว่าแพลตฟอร์มไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุด

 

 

วิธีคำนวณ ROAS

การคำนวณ ROAS นั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยใช้สูตร

 

ROAS = รายได้จากแคมเปญโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา

 

รายได้ในที่นี้หมายถึงยอดขายที่เกิดขึ้นโดยตรงจากแคมเปญโฆษณานั้น ๆ ส่วนค่าใช้จ่ายในการโฆษณาคือจำนวนเงินทั้งหมดที่ใช้ไปกับแคมเปญนั้น

 

ตัวอย่างการคำนวณ ROAS

สมมติว่าคุณทำแคมเปญโฆษณาบน Google Ads โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ค่าใช้จ่ายโฆษณาทั้งหมด: 10,000 บาท
  • รายได้ที่เกิดจากแคมเปญ: 45,000 บาท

 

ROAS = 45,000 ÷ 10,000 = 4.5

 

นั่นหมายความว่าทุก 1 บาทที่คุณใช้จ่ายไปกับแคมเปญนี้ สร้างรายได้กลับมา 4.5 บาท หรือคิดเป็น 450%

 

ROAS ที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไหร่?

ค่าตัวชี้วัดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทธุรกิจ อุตสาหกรรม และเป้าหมายของแคมเปญ โดยทั่วไปแล้ว

  • ROAS ต่ำกว่า 1 : แคมเปญขาดทุน (ใช้เงินมากกว่ารายได้ที่ได้รับ)
  • ROAS = 1 : คุ้มทุนพอดี
  • ROAS 2-4 : ถือว่าดีสำหรับธุรกิจทั่วไป
  • ROAS 5 ขึ้นไป : ยอดเยี่ยมสำหรับแคมเปญส่วนใหญ่

 

 

ROI คืออะไร?

 

ROI คืออะไร?

 

ROI หรือ Return on Investment คือตัวชี้วัดที่วัดผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด ไม่เพียงแค่ค่าโฆษณา แต่รวมถึงต้นทุนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าผลิตสื่อ ค่าซอฟต์แวร์ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ โดยแสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์

 

ROI คำนวณจากสูตร

 

ROI = [(รายได้ ต้นทุนทั้งหมด) ÷ ต้นทุนทั้งหมด] × 100%

 

ความสำคัญของ ROI ในการวางแผนธุรกิจ

ROI เป็นตัวชี้วัดที่มองภาพรวมของธุรกิจ มีความสำคัญต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว:

  1. ช่วยประเมินความคุ้มค่าของโครงการลงทุนที่มีหลายองค์ประกอบ
  2. เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ถือหุ้น
  3. ช่วยในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างโครงการลงทุนที่แตกต่างกัน
  4. ใช้กำหนดทิศทางการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว

 

ตัวอย่างการใช้งาน ROI

บริษัทซอฟต์แวร์แห่งหนึ่งกำลังพิจารณาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนดังนี้

  • ค่าพัฒนาซอฟต์แวร์ : 500,000 บาท
  • ค่าโฆษณาและการตลาด : 300,000 บาท
  • ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน : 200,000 บาท
  • รวมต้นทุนทั้งหมด : 1,000,000 บาท

 

หากผลิตภัณฑ์นี้สร้างรายได้ในปีแรก 1,500,000 บาท

  • กำไร = 1,500,000 – 1,000,000 = 500,000 บาท
  • ROI = (500,000 ÷ 1,000,000) × 100% = 50%

 

ROI 50% แสดงว่าทุก 1 บาทที่ลงทุนไป สร้างผลตอบแทนกลับมา 0.5 บาท นอกเหนือจากเงินลงทุนเดิม

 

 

เปรียบเทียบ ROAS vs ROI ต่างกันอย่างไร?

ROAS และ ROI มีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ

 

ขอบเขตการวัด

ROAS – วัดเฉพาะประสิทธิภาพของค่าใช้จ่ายในการโฆษณา

ROI – วัดประสิทธิภาพของการลงทุนทั้งหมด รวมทุกต้นทุนที่เกี่ยวข้อง

 

มุมมองเวลา

ROAS – มักใช้วัดผลในระยะสั้น เช่น แคมเปญรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน

ROI – มักใช้วัดผลในระยะยาว เช่น รายไตรมาสหรือรายปี

 

การคำนวณ

ROAS – คำนวณจากรายได้หารด้วยค่าโฆษณา

ROI – คำนวณจาก (รายได้ – ต้นทุนทั้งหมด) หารด้วยต้นทุนทั้งหมด

 

การแสดงผล

ROAS – มักแสดงเป็นอัตราส่วน เช่น 3:1 หรือ 300%

ROI – แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น 30%

 

เมื่อไหร่ควรใช้ ROAS? เมื่อไหร่ควรใช้ ROI?

 

ควรใช้ ROAS เมื่อ

  • ต้องการวัดประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาโดยเฉพาะ
  • ต้องการเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างแพลตฟอร์มโฆษณาต่าง ๆ
  • ต้องการตัดสินใจเรื่องงบประมาณโฆษณาในระยะสั้น
  • ต้องการปรับแต่งแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

 

ควรใช้ ROI เมื่อ

  • ต้องการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด
  • ต้องการนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนหรือผู้ถือหุ้น
  • ต้องการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว
  • ต้องการเปรียบเทียบระหว่างโครงการลงทุนที่แตกต่างกัน

 

 

ROAS กับกลยุทธ์การตลาดยุคดิจิทัล

 

การนำ ROAS มาใช้ในแพลตฟอร์มโฆษณา

Google Ads : Google Ads มีเครื่องมือติดตาม ROAS โดยตรง ซึ่งช่วยให้นักการตลาดตั้งเป้าหมาย ROAS และให้ระบบปรับการประมูลโฆษณาโดยอัตโนมัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น เช่น คุณสามารถตั้งค่าให้ Google พยายามรักษา ROAS ที่ 400% โดยระบบจะปรับการประมูลให้เหมาะสม

 

Facebook Ads : Facebook มีตัวเลือกการเพิ่มประสิทธิภาพงบประมาณที่คล้ายกัน โดยใช้ชื่อว่า “การเพิ่มประสิทธิภาพมูลค่าการซื้อ” ซึ่งช่วยให้คุณโฆษณาไปยังกลุ่มผู้ที่มีแนวโน้มจะสร้าง ROAS สูงสุด

 

เทคนิคการเพิ่มค่า ROAS

การแบ่งกลุ่มเป้าหมายให้เฉพาะเจาะจง : การโฆษณาถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นจะช่วยเพิ่มโอกาสการขาย และลดการสูญเสียงบประมาณไปกับผู้ที่ไม่สนใจสินค้า

 

การทดสอบ A/B : ทดสอบข้อความโฆษณา ภาพ และหน้าลงจอดที่แตกต่างกัน เพื่อค้นหาสิ่งที่สร้างยอดขายได้ดีที่สุด

 

การใช้ระบบประมูลอัตโนมัติ : ระบบประมูลอัตโนมัติในแพลตฟอร์มโฆษณาสามารถช่วยปรับการใช้จ่ายเพื่อมุ่งเป้าไปที่ผู้ที่มีแนวโน้มจะซื้อสูง

 

การปรับปรุงเส้นทางการซื้อ : ลดอุปสรรคในการซื้อโดยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์หรือแอป ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการแปลงเป็นลูกค้า

 

วิเคราะห์ ROAS เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญ

การวิเคราะห์ ROAS อย่างละเอียดจะช่วยให้คุณเห็นแนวทางในการปรับปรุงแคมเปญ

 

วิเคราะห์ตามอุปกรณ์ : ROAS อาจแตกต่างกันมากระหว่างมือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ การระบุอุปกรณ์ที่ทำงานได้ดีที่สุดจะช่วยให้คุณจัดสรรงบประมาณได้อย่างเหมาะสม

 

วิเคราะห์ตามช่วงเวลา : การโฆษณาในเวลาที่ ROAS สูงสุดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ

 

วิเคราะห์ตามกลุ่มเป้าหมาย : การระบุกลุ่มประชากรที่สร้าง ROAS สูงสุดจะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์การโฆษณา

 

วิเคราะห์ตามคีย์เวิร์ด : สำหรับโฆษณาค้นหา การระบุคีย์เวิร์ดที่สร้าง ROAS สูงสุดจะช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ

 

บทบาทของ ROAS ในการเพิ่ม Conversion และกำไร

ROAS ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยขับเคลื่อนการตัดสินใจ

  1. กำหนดเพดานราคาประมูล – ด้วยการเข้าใจ ROAS คุณสามารถคำนวณราคาประมูลสูงสุดที่คุณสามารถจ่ายได้และยังคงทำกำไร 
  2. ปรับสมดุลระหว่างปริมาณและคุณภาพ – แคมเปญบางอย่างอาจมี ROAS ต่ำแต่สร้างลูกค้าจำนวนมาก ในขณะที่แคมเปญอื่นอาจมี ROAS สูงแต่เข้าถึงลูกค้าน้อยกว่า การเข้าใจความสมดุลนี้จะช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม 
  3. ผสมผสานกับตัวชี้วัดอื่น – ROAS ควรพิจารณาร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น อัตราการแปลงเป็นลูกค้า (Conversion Rate) และมูลค่าลูกค้าตลอดชีพ (Customer Lifetime Value) เพื่อภาพรวมที่สมบูรณ์

 

 

สรุป

ROAS และ ROI เป็นตัวชี้วัดที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จทางการตลาดและธุรกิจ โดยทั้งคู่มีจุดแข็งและบทบาทเฉพาะตัว การใช้ทั้งสองตัวชี้วัดร่วมกันจะช่วยให้คุณมีมุมมองที่ครบถ้วนต่อประสิทธิภาพการลงทุนทางการตลาดและธุรกิจ นำไปสู่การตัดสินใจที่ชาญฉลาดและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว

 

เมื่อเข้าใจความแตกต่างและรู้จักประยุกต์ใช้ตัวชี้วัดทั้งสองอย่างเหมาะสม คุณจะสามารถวางแผนการลงทุนที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและผลักดันธุรกิจสู่ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

หากคุณกำลังมองหาความช่วยเหลือในการพัฒนาเว็บไซต์หรือการตลาดดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจของคุณ เราขอแนะนำให้คุณติดต่อ Yes Web Design Studio ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเว็บไซต์ SEO และรับทำการตลาดออนไลน์ครบวงจร พร้อมช่วยพัฒนาเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับความต้องการทางธุรกิจของคุณให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

 

 

 

Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

มีโปรเจกต์ในใจแล้วใช่ไหม ?