YES!

เอเจนซี่การตลาดออนไลน์ครบวงจร
อันดับ 1 ด้านการทำเว็บไซต์

มาร่วมงานกับเราสิ!

Featured on

หน้าแรก 1
หน้าแรก 3
หน้าแรก 5
หน้าแรก 7
หน้าแรก 9
หน้าแรก 11
หน้าแรก 13
หน้าแรก 15
หน้าแรก 17
หน้าแรก 19

บริษัทออกแบบเว็บไซต์
ย่านใจกลางกรุงเทพ

เรารับออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่ด้วยเอกลักษณ์แบบเฉพาะที่เรามี ในการรังสรรค์ภาพลักษณ์ใหม่บนเว็บไซต์ของคุณให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม
เราพร้อมที่จะรังสรรค์ผลงานตามที่คุณต้องการ เพราะสำหรับเราการทำเว็บไซต์ควรจะเป็นเรื่องง่าย สนุก และเป็นประโยชน์กับธุรกิจของคุณมาสร้างประสบการณ์ที่ดีตั้งแต่ครั้งแรกกันเถอะ!

ลูกค้าที่เข้ามา

SAID YES!

กับเรา

หน้าแรก 21
หน้าแรก 23
หน้าแรก 25
หน้าแรก 27
หน้าแรก 29
หน้าแรก 31
หน้าแรก 33
หน้าแรก 35
หน้าแรก 37
หน้าแรก 39
หน้าแรก 41
หน้าแรก 43
หน้าแรก 45
หน้าแรก 47
หน้าแรก 49
หน้าแรก 51
หน้าแรก 53
หน้าแรก 55
หน้าแรก 57
หน้าแรก 59
หน้าแรก 61
หน้าแรก 63
หน้าแรก 65
หน้าแรก 67
หน้าแรก 69
หน้าแรก 71
หน้าแรก 73
หน้าแรก 75
หน้าแรก 77
หน้าแรก 79
หน้าแรก 81
หน้าแรก 83
หน้าแรก 85
หน้าแรก 87
หน้าแรก 89
หน้าแรก 91
หน้าแรก 93
หน้าแรก 95
หน้าแรก 97
หน้าแรก 99

ผลงานของเรา

เราผสมผสาน ความคิดสร้างสรรค์ เข้ากับ เทคโนโลยี เพื่อ

ทลายกำแพงด้านการออกแบบเว็บไซต์ แห่งเดียวในกรุงเทพมหานคร

เทคโนโลยีที่เราใช้

เรามีความเชี่ยวชาญและมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในทุกๆครั้ง

หน้าแรก 119
หน้าแรก 121
หน้าแรก 123
หน้าแรก 125
หน้าแรก 127
หน้าแรก 129
หน้าแรก 131
หน้าแรก 133
หน้าแรก 135
หน้าแรก 137
หน้าแรก 139
หน้าแรก 141
หน้าแรก 143
หน้าแรก 145
หน้าแรก 147
หน้าแรก 149
หน้าแรก 151
หน้าแรก 153
หน้าแรก 119
หน้าแรก 121
หน้าแรก 123
หน้าแรก 125
หน้าแรก 127
หน้าแรก 129
หน้าแรก 131
หน้าแรก 133
หน้าแรก 135
หน้าแรก 137
หน้าแรก 139
หน้าแรก 141
หน้าแรก 143
หน้าแรก 145
หน้าแรก 147
หน้าแรก 149
หน้าแรก 151
หน้าแรก 153

บริการของเรา

หน้าแรก 191
เรานำเสนอแนวทางการออกแบบสุดล้ำ เพื่อคุณโดยเฉพาะ

บริษัท เยส เว็บดีไซน์ สตูดิโอ นำเสนอวิธีการแก้ไขและปรับปรุงเว็บไซต์อย่างสร้างสรรค์ด้วยคุณภาพผ่านทักษะอันเชี่ยวชาญที่มีมามากกว่า 1 ปี เพื่อนำคุณไปสู่เป้าหมายที่สำเร็จ

0
%
0 %
SATISFACTION
หน้าแรก 193
หน้าแรก 193

ภาพรวม

ธุรกิจของเรา

เยสเว็บ ดีไซน์ สตูดิโอ เป็นบริษัทออกแบบเว็บไซต์ใจกลางกรุงเทพ ที่ไม่เคยหยุด นำเสนอการออกแบบเว็บไซต์และวิธีการพัฒนาที่ทันสมัย ในทุกๆความคิดสร้างสรรค์ที่กลั่นกรองออกมา รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีนี้ เพื่อสร้างระบบนิเวศดิจิตอลที่แข็งแกร่งขึ้นมา

เราเป็นมากกว่าแค่การดีไซน์แต่เรายังมีสร้างบรรยากาศในการทำงาน เพื่อจุดประกายความคิดและไอเดียใหม่ๆให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพื่อเชื่อมต่อธุรกิจและทำให้ลูกค้าของเราประสบความสำเร็จ

CRM
Connect with your customers and build lasting relationships with data collecting, information storage, discovering sales opportunities and more!
AI
Develop a customised chat AI for your website for customer experience.
INNOVATE
We innovate new digital solutions and promising tech projects.
PARTNER
We always are looking for new partners including agencies to further expand our services.

เชื่อสิว่าเราใส่ใจ

สัญญาได้ไหม? ว่าจะคุณอ่านบทความที่เต็มไปด้วยสาระเหล่านี้ก่อนที่คุณจะทำเว็บไซต์ใหม่หรือจ้างบริษัทออกแบบเว็บไซต์ เพื่อที่คุณจะได้แนวคิดที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ พร้อมทั้งข้อมูลที่ถูกต้องในการทำเว็บไซต์

มกราคม 23, 2025
AI Chatbot คืออะไร ? มาทำความรู้จักกัน
หน้าแรก 207

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน AI เข้ามามีส่วนช่วยการทำงานและชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล นำเสนอแผนงาน หรือแม้แต่การให้บริการและขายสินค้าต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ เพราะ AI ไม่ใช่เพียงแต่ปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยให้การทำงานของเราง่ายขึ้น แต่ยังสามารถเรียนรู้จากคำสั่งที่เราป้อนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้อีกด้วย แล้ว AI Chatbot คืออะไร เหมือนกับ AI ทั่วไปหรือไม่ บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับความเป็นมาและวิธีการใช้งาน AI Chatbot ให้เป็นผู้ช่วยมือขวาได้อย่างง่ายดาย !

เริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักกับ AI กัน

หน้าแรก 209

AI หรือ Artificial intelligence เป็นเทคโนโลยีหรือปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกพัฒนาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถเรียนรู้และแก้ไขปัญหาได้เหมือนมนุษย์ คล้ายกับการจำลองมนุษย์ที่มีครบทุกความคิด การให้ข้อมูล วางแผน และให้ไอเดียได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งยังมีการจดจำ และแยกแยะใช้เหตุและผลประกอบการตัดสินใจได้อีกด้วย จึงทำให้ปัจจุบันหลายธุรกิจนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดพัก แล้วประเภทของ AI ล่ะมีอะไรบ้าง วันนี้เรามาทำความรู้จักกัน

ประเภทของ AI แบ่งได้ตามความสามารถในปัจจุบัน

Artificial Narrow Intelligence (ANI)​

หรืออีกชื่อเรียกนั้นก็คือ Weak AI เป็นรูปแบบของ AI ที่เป็นที่นิยมในตลาดปัจจุบัน โดยถูกออกแบบการทำงานมาเฉพาะด้านหรือจะต้องมีโปรแกรมคำสั่งมาเท่านั้น จึงมีข้อจำกัดในการทำงานไม่สามารถทำงานนอกเหนือคำสั่ง หรือเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น Chatbot หรือ AI ทั่วไปที่ใช้ในการแนะนำสินค้าตามประวัติการสั่งซื้อ

Artificial General Intelligence (AGI)​

หรือที่เรียกกันว่า Strong AI เป็นระบบ AI มีสติปัญญาสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจกับคำถามสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยืดหยุ่นคล้ายความสามารถของมนุษย์ ยกตัวอย่าง AGI จะเป็นหุ่นยนต์ที่ช่วยงานบ้านทั่วไป หรือสำรวจนอกโลก

Artificial Super Intelligence (ASI)​

สุดยอด AI อัจฉริยะหรือที่เรียกกันว่าปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์ ซึ่งมีความสามารถรอบด้านซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถพัฒนา AI ในระดับนี้ขึ้นมาได้

จากประเภทที่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่างเป็นเพียงส่วนนึงที่ถูกแบ่งตามความสามารถเท่านั้น แต่ยังมี AI ที่ถูกพัฒนาเพื่อนำไปเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มเพื่อช่วยให้การทำงานของเราง่ายขึ้นอีกระดับ ทั้งยังให้ความรู้สึกต่อเนื่องในการสนทนา ไม่เพียงเท่านั้นแถมยังให้คำแนะนำเพื่อให้คำปรึกษาจากการเรียนรู้ได้อีกด้วย จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนำความสามารถของ AI มาช่วยในการต่อยอดธุรกิจอีกด้วย

AI Chatbot คืออะไร ?

หน้าแรก 211

ต้องบอกเลยว่าปัจจุบัน AI ไม่ใช่แค่ผู้ช่วยอีกต่อไปแต่ยังถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมาสู่ AI Chatbot ที่ถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการเสริมหรือต่อยอดธุรกิจให้มีความทันสมัยและอยู่กับเทคโนโลยีอยู่เสมอ

AI Chatbot หรือ ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกพัฒนาให้สามารถเรียนรู้ได้จากคำสั่งในการตอบกลับการสนทนา มีความเป็นธรรมชาติในการตอบคำถามเพื่อใช้ในการตอบกลับการบริการหรือให้ข้อมูลตามที่ถูกกำหนดไว้แต่ยังไม่มีความสามารถจนถึงขั้นพัฒนา และเรียนรู้ที่เสมือนมนุษย์ จึงเกิดการพัฒนาเพื่อผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับแพลตฟอร์มที่ให้บริการด้านการบริการหรือระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ให้สามารถตอบกลับในช่องทางอย่างเช่น Line OA, WhatsApp หรือ Facebook Messenger เพื่อให้บริการได้อย่างต่อเนื่องทั้งยังสามารถเรียนรู้และข้อมูลนอกเหนือจากการสอบถามทั่วไปอีกด้วย เรามาดูกันว่าหลักการทำงานของ AI Chatbot มีอะไรบ้างและมีความซับซ้อนมากน้อยแค่ไหน

AI Chatbot ทำงานอย่างไร ?

1. ป้อนข้อมูล

เริ่มต้นด้วยการรับข้อมูลจากทั้งการพิมพ์ป้อนข้อมูลรวมไปถึงนับข้อมูลแบบเสียง ทั้งยังสามารถเพิ่มเติมข้อมูลที่ประกอบด้วยเหตุผลและหลักการเพื่อใช้ในการประมวลผลขั้นตอนต่อไป

2. ประมวลผล และทำความเข้าใจข้อมูล

หลังจากที่ AI ได้รับข้อมูล แชตบอตจะเริ่มใช้ NLP หรือ Natural language processing (NLP) การประมวลผลให้เป็นภาษาธรรมชาติที่ได้รับการออกแบบมาให้สามารถปรับปรุงคำพูดของข้อมูลในการเลือกคำตอบร่วมกับการวิเคราะห์บริบท

3. วิเคราะห์เพื่อประมวลบริบท หรือค้นหาคำตอบในการตอบสนอง

เพื่อให้การตอบสนองต่อข้อมูลหรือแชตเป็นไปได้อย่างราบรื่น AI Chatbot จะมีการวิเคราะห์ต่อยอดจากข้อมูลที่หามาได้เพื่อทำความเข้าใจในรูปแบบของการสนทนาให้การตอบกลับตรงกับความต้องการของผู้ถาม

4. ออกแบบการตอบสนอง

หลังจากผ่านกระบวนการประมวลผลประกอบการวิเคราะห์ด้วยฐานข้อมูล AI Chatbot จะทำการเรียนรู้ผ่านการสนทนาเพื่อออกแบบการตอบกลับให้มีความเป็นธรรมชาติและเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายไม่เหมือนการตอบกลับด้วย Chatbot ทั่วไปที่จะถูกกำหนดด้วยชุดคำสั่งและการตอบกลับแบบมีแบบแผน

5. ตอบกลับ

ขั้นตอนสุดท้ายของการนำส่งข้อมูลเพื่อตอบกลับโดยจะเป็นผลลัพธ์ที่มาจากการประมวลผลที่ผ่านการเรียนรู้ของ AI และหลังจากการตอบกลับจะมีการเก็บข้อมูลเพื่อประกอบการพัฒนาในอนาคต

วิธีสร้าง AI Chatbot

1. กำหนดขอบเขตการทำงาน

หรือพูดง่าย ๆ ให้เห็นภาพนั้นคือการตั้งเป้าในการใช้งานเช่น เราต้องการใช้เพื่อตอบคำถามด้านในด้านการซื้อขาย หรือการตอบกลับให้ด้านการบริการ รวมไปถึงการสร้างโอกาสในการขายทั้งการตอบกลับอีเมลหรือตอบกลับแชตกับระบบ CRM

2. กำหนดแพลตฟอร์มสำหรับการเชื่อมต่อ AI

ในปัจจุบันเราสามารถเชื่อมต่อ AI เข้ากับแพลตฟอร์มได้หลากหลายขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งาน สามารถเลือกเชื่อมได้ทั้ง Line OA, Facebooke Messenger, Slack หรือ Notion เป็นต้น เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงาน

3. สร้างบริบทการตอบกลับของสนทนา

เริ่มต้นด้วยการวาง Flow ของการสนทนาเพื่อลำดับตัวอย่างเหตุการณ์รวมถึงความสำคัญ ยกตัวอย่างเช่นอาจเริ่มต้นด้วยการทักทาย เพื่อให้ AI สามารถตอบกลับหรือตอบสนองได้อย่างราบรื่น

4. ทดสอบและพัฒนาระบบ

เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นทั้งยังเกิดการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเตรียมพร้อมกับการใช้งานหรือฟีเจอร์อื่น ๆ ในอนาคต

ธุรกิจที่เหมาะกับการใช้งาน AI Chatbot

เนื่องด้วย AI ไม่เพียงแต่มีความยืดหยุ่นแต่ยังสามารถเรียนรู้ด้วยการพัฒนาคำสั่งจึงทำให้ AI เหมาะกับการใช้งานอย่างหลากหลายรวมไปถึงการใช้งานร่วมในรูปแบบการตอบกลับผ่านแชตที่ได้รับการพัฒนาระบบจากประสบการณ์การเรียนรู้จึงเหมาะกับการใช้งานในรูปแบบของการบริการเพื่อการให้ข้อมูลหรือทำงานร่วมกับระบบ CRM ยกตัวอย่างธุรกิจที่เหมาะกับการใช้งาน AI Chatbot เช่น

  • AI Chatbot เพื่อการสนับสนุนลูกค้าในการขายหรือการให้บริการ
  • AI Chatbot เพื่อตอบสนองภายในองค์กรหรือธุรกิจหลากหลายขนาด
  • AI Chatbot สำหรับธุรกิจโรงแรมเพื่อการจองและให้ข้อมูล
  • AI Chatbot เพื่อการให้ข้อมูลในด้านการแพทย์หรือให้คำแนะนำเบื้องต้นด้านปัญหาสุขภาพ

ประโยชน์ของ AI Chatbot ที่มากกว่าการตอบกลับอัตโนมัติ

เพราะ AI Chatbot ไม่เพียงแต่เป็น AI ที่ถูกพัฒนามาเพื่อช่วยในการทำงานหรือการให้ข้อมูลแต่ยังสามารถตอบสนองและให้คำแนะนำได้เหนือกว่าการใช้ Chatbot ทั่วไป เรียกได้ว่าครอบคลุมไปจนถึงสามารถคิดวิเคราะห์และพัฒนาเพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการตอบสนองในอนาคตได้อีกด้วย จึงทำให้ประโยชน์ของ AI Chatbot ครอบคลุมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็น

  1. สามารถตอบกลับและให้คำแนะนำที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่ถูกป้อนคำสั่งไว้
  2. สามารถตอบกลับได้อย่างต่อเนื่องได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  3. รองรับการขยายธุรกิจในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการให้บริการด้วยภาษาที่หลากหลาย รวมไปถึงให้ข้อมูลที่มากกว่าการหาข้อมูลทั่วไป
  4. สามารถวิเคราะห์ข้อมูลหรือข้อความร่วมกับความรู้สึกของผู้ถามเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในการตอบกลับ

แน่นอนว่า AI Chatbot เป็นหนึ่งในผู้ช่วยในการพัฒนาธุรกิจให้คุณสามารถต่อยอดเพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโต ทั้งยังลดความซับซ้อนในการทำงานรวมไปถึงช่วยรวบรวมข้อมูลประกอบการวิเคราะห์เพื่อให้ธุรกิจของคุณก้าวสู่เส้นทางความสำเร็จได้อนาคตได้อย่างราบรื่น

แต่จากข้อมูลทั้งหมดที่ YES AI รวบรวมมาให้ถือเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนา AI Chatbot เท่านั้นยังไม่รวมถึงความแตกต่างระหว่าง AI Chatbot และ Chatbot ใครที่อยากรู้ความแตกต่างสามารถอ่านต่อได้ในบทความ “AI Chatbot ต่างจาก Chatbot อย่างไร” ได้เลย

กันยายน 18, 2024
พบกับ SlipOK พาร์ทเนอร์ใหม่ จาก Yes Web Design Studio

ในยุคที่ธุรกิจซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตอย่างต่อเนื่อง การยืนยันการชำระเงินที่ถูกต้องและรวดเร็วจึงกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจออนไลน์ เพื่อลดปัญหาการปลอมแปลงสลิปและการตรวจสอบการโอนเงินที่ล่าช้า Yes Web Design Studio จึงภูมิใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับการประกาศความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ใหม่ของเราซึ่งก็คือ SlipOK ผู้ให้บริการระบบตรวจสอบและยืนยันการชำระเงินที่รวดเร็วและแม่นยำ กับการนำเทคโนโลยี AI และ OCR (Optical Character Recognition) มาช่วยขับเคลื่อน ซึ่งความร่วมมือนี้จะไม่เพียงแต่จะช่วยให้กระบวนการซื้อขายออนไลน์มีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การทำธุรกรรมต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับพาร์ทเนอร์ธุรกิจออนไลน์ของเรา

SlipOK คืออะไร?

SlipOK คือผู้ให้บริการระบบตรวจสอบสลิปการโอนเงินอัตโนมัติ ซึ่งทำงานผ่านแชทบอทที่ถูกพัฒนาขึ้นให้สามารถอ่านและตรวจสอบข้อมูลที่อยู่บนสลิปโอนเงินได้ทันที เพียงสแกน QR Code ทั้งยังเชื่อมต่อกับระบบของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อยืนยันความถูกต้องของการทำธุรกรรม ทำให้มั่นใจได้ว่าสลิปที่ได้รับเป็นของแท้และมีข้อมูลที่ถูกต้อง

นอกจากนี้ SlipOK ยังได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ ช่วยให้การตรวจสอบสลิปมีความแม่นยำ อีกทั้งยังรองรับการตรวจสอบได้สูงสุดถึง 100 สลิปต่อเดือนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทำให้บริการของ SlipOK  เป็นบริการที่น่าเชื่อถือและเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็วในการตรวจสอบสลิปโอนเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

หน้าแรก 213

บริการของ SlipOK มีอะไรบ้าง?

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ที่ต้องการระบบตรวจสอบสลิปโอนเงินอัตโนมัติ หรือผู้ให้บริการที่ต้องการระบบซื้อขายบนเว็บไซต์ SlipOK มีบริการและโซลูชันที่หลากหลายและตอบโจทย์ทุกความต้องการธุรกิจออนไลน์ทุกรูปแบบ ไปกับบริการหลักๆ ดังนี้

1. SlipOK LINE CHATBOT บริการที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้าน หรือร้านค้าออนไลน์ที่มีการติดต่อซื้อขายผ่านแอปพลิเคชัน LINE โดยแชทบอทนี้จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบสลิปโอนเงินที่ลูกค้าส่งเข้ามาทันทีที่ได้รับสลิป จึงช่วยลดขั้นตอนในการทำงานของทำให้เจ้าของร้านหรือพนักงานให้ไม่ต้องตรวจสอบสลิปด้วยตนเองอีกต่อไป ขณะเดียวกันยังเพิ่มความสะดวกและความแม่นยำในการทำงานอีกด้วย

2. SlipOK LINE OA Webhook มาพร้อมกับบริการ Webhook สำหรับผู้ใช้ LINE Official Account (LINE OA) ที่สามารถติดตั้งและเชื่อมต่อกับ LINE Official Account ของทุกธุรกิจได้อย่างง่ายดาย ทำให้การตรวจสอบสลิปการโอนของลูกค้าที่ส่งเข้ามาในแชทเป็นไปโดยอัตโนมัติ ลดภาระการทำงานของแอดมินในการตรวจเช็กสลิปทีละรายการ เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบธุรกรรม และช่วยให้ทีมงานทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

3. SlipOK API สำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการระบบตรวจสอบสลิปที่สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับระบบของเว็บไซต์ได้ทันที เนื่องจาก SlipOK มีบริการ API ที่สามารถเชื่อมต่อระบบการตรวจสอบสลิปโอนเงินเข้ากับเว็บไซต์ของธุรกิจคุณได้อย่างสะดวกสบาย โดยข้อมูลการทำธุรกรรมจะถูกตรวจสอบผ่านธนาคารแห่งประเทศไทยและรายงานผลให้ทราบในทันที

4. SlipOK WordPress Plugin สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ใช้เว็บไซต์ที่พัฒนาโดย WordPress หรือ WooCommerce ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก SlipOK WordPress Plugin เพื่อเพิ่มระบบตรวจสอบสลิปอัตโนมัติบนเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดย Plugin นี้จะช่วยให้การยืนยันการชำระเงินของลูกค้าผ่านการสแกน QR Code เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

การผสานรวม SlipOK กับเว็บไซต์ของลูกค้าโดย Yes Web Design Studio

ในฐานะที่เราเป็นผู้ให้บริการด้านการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี Yes Web Design Studio มีความยินดีที่ได้รับโอกาสในการทำงานร่วมงานกับ SlipOK เพื่อนำเสนอโซลูชันการตรวจสอบสลิปอัตโนมัติให้กับพาร์ทเนอร์ที่ยอดเยี่ยมของเรา ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้เว็บไซต์ที่เราพัฒนาขึ้นสามารถทำงานร่วมกับ SlipOK เพื่อยืนยันการชำระเงินของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเราจะดำเนินการติดตั้งและตั้งค่า SlipOK API หรือ Plugin เพื่อให้ระบบตรวจสอบสลิปทำงานได้อย่างสมบูรณ์และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างครบถ้วน ไม่ว่าคุณจะมีเว็บไซต์ที่ใช้งานผ่าน WordPress หรือจะเป็นเว็บไซต์ที่มีระบบซื้อขายออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นเองก็ตาม Yes Web Design Studio พร้อมผสานรวมและนำเสนอบริการ SlipOK ให้กับคุณได้อย่างราบรื่น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับการทำธุรกรรมทางออนไลน์และลดความเสี่ยงจากการใช้สลิปปลอม

หน้าแรก 215

ข้อดีของการใช้บริการ SlipOK ที่ร่วมมือกับ Yes Web Design Studio

การผสานรวมบริการ SlipOK กับเว็บไซต์ของลูกค้า Yes Web Design Studio นั้นมีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น…

1. ความแม่นยำในการตรวจสอบสลิป ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI และ OCR บริการของ SlipOK สามารถตรวจสอบสลิปการโอนเงินได้อย่างแม่นยำทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้สลิปปลอมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกข้อมูลการทำธุรกรรมเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและได้รับการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว

2. การลดภาระการทำงานของทีมงาน ด้วยระบบแชทบอทและการทำงานอัตโนมัติของ SlipOK ทีมงานของร้านค้าหรือธุรกิจของคุณจะไม่จำเป็นต้องตรวจสอบสลิปทีละใบอีกต่อไป ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่เกิดจากการตรวจสอบสลิปด้วยตนเองอีกด้วย

3. ความสะดวกสบายในการใช้งาน บริการ SlipOK ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและสะดวก ไม่ว่าคุณจะเข้าถึงผ่าน LINE Chat, LINE OA, หรือเว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นเองโดยเฉพาะก็ดี นั่นเพราะ SlipOK สามารถทำงานร่วมกับทุกแพลตฟอร์มได้อย่างราบรื่น โดยมีทีมงาน Yes Web Design Studio เป็นผู้ติดตั้งและตั้งค่าระบบให้กับคุณ เพื่อให้ทุกความเคลื่อนไหวและการใช้งานเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ

4. การจัดการข้อมูลการทำธุรกรรมที่มีประสิทธิภาพ ความพิเศษของSlipOK คือการมีฟีเจอร์ในการสรุปยอดการทำธุรกรรมรายวัน รายเดือน และรายปี ทำให้คุณสามารถตรวจสอบและติดตามยอดการขายของคุณได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังสามารถดาวน์โหลดข้อมูลย้อนหลังซึ่งเป็นประโยชน์และช่วยอำนวยความสะดวกในการทำบัญชีและวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ

5. รองรับการใช้งานหลายสาขา สำหรับธุรกิจที่มีหลายสาขา SlipOK สามารถรองรับการใช้งานได้ทุกสาขาผ่านระบบสแกนตรวจสอบสลิปอัตโนมัติ ขณะเดียวกันยังช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบธุรกรรมจากทุกสาขาได้จากที่เดียว รวมถึงในส่วนของระบบยังสามารถแยกการตรวจสอบและรายงานผลการทำธุรกรรมของแต่ละสาขาได้อย่างชัดเจน

บทส่งท้าย

Yes Web Design Studio ภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ SlipOK ในการนำเสนอโซลูชันการตรวจสอบสลิปการโอนเงินอัตโนมัติให้กับพาร์ทเนอร์ของเรา ซึ่งความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและลดภาระการทำงานของทีมงานอีกด้วย

สุดท้ายนี้หากคุณกำลังมองหาวิธีเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์และต้องการลดความเสี่ยงจากการใช้สลิปปลอม คุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเป็นกังวลว่าจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกต่อไป เพราะ SlipOK คือทางเลือกที่ดีที่สุดไปกับกำลังสำคัญอย่าง Yes Web Design Studio ที่พร้อมช่วยคุณในการผสานรวม SlipOK เข้ากับเว็บไซต์ของคุณ ด้วยบริการที่มีคุณภาพสูงและเชื่อถือได้

อยากทำการตลาดออนไลน์ ติดต่อมาได้เลย!

Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Facebook : Yes Web Design Studio I Web Design Company Bangkok
Instagram : yeswebdesign_bkk
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

สิงหาคม 11, 2023
E-E-A-T คือไม้เด็ด ช่วยงัดประสิทธิภาพ SEO ให้ปัง!

อยากกระตุ้นประสิทธิภาพของ SEO ให้สูงขึ้น สร้างการเข้าถึงเว็บไซต์จำนวนมาก และผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพจริง ต้องคำนึงถึงหลักการ E-E-A-T Factor หรือ Google E-A-T เสียก่อน! ขอบอกเลยว่าสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่คนทำ SEO ควรจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะนับว่าเป็นหนึ่งในหัวใจหลัก ที่สำคัญไม่แพ้กับปัจจัยอื่น ๆ เลย

SEO หรือ Search Engine Optimize คือการสร้างสรรค์คำตอบ พัฒนาเนื้อหาเว็บไซต์ และเตรียมสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการไว้ล่วงหน้า เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมาเจอเราเมื่อค้นหาสิ่งเหล่านั้นบน Search Engine โดยการทำ SEO นั้น เป็นการทำเพื่อกลุ่มเป้าหมาย (User) อย่างแท้จริง หากเราทำตรงนี้ได้ดี เว็บไซต์เราก็จะดีขึ้นตามไปด้วย และกลุ่มเป้าหมายที่ว่านี้ จะกลายมาเป็นลูกค้าเราอย่างแท้จริง

แต่การที่เราจะทำคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายได้ เราจะต้องรู้เสียก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการอะไร? ค้นหาอะไร? และอยากรู้อะไรเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ และ Google E-E-A-T นี่แหละ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคุณได้เป็นอย่างดี ทั้งในสายตาของกลุ่มเป้าหมายและสายตาของ Google ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปทำความรู้จักกันเลยว่า E-E-A-T คืออะไร? ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง? มีเทคนิคการทำอย่างไร? ฯลฯ เพราะพวกเรา Yes Web Design Studio รวบรวมข้อมูลมาไว้ในบทความนี้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

Google E-E-A-T Factor

เครดิตภาพ seoinc

Google E-E-A-T คืออะไร?

Google E-E-A-T Factor เป็นปัจจัยหนึ่งของระบบประมวลผล (Algorithm) ที่ Google ใช้ในการนำมาพิจารณาว่าเว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับประสิทธิภาพของการทำ SEO ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคะแนนเว็บไซต์ หรืออันดับการค้นหาของ Keyword ต่าง ๆ ก็ตาม

เดิมที Factor นี้จะมีเพียง 3 ปัจจัยเท่านั้น นั่นก็คือ Expertise, Authoritativeness และ Trustworthiness แต่เมื่อไม่นานมานี้ Google เพิ่ม Experience เข้ามาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาประสิทธิภาพของการทำ SEO ด้วย

โดยการวัดผลของ SEO นั้น คนส่วนใหญ่มักจะยึดเอาอันดับการค้นหาของคีย์เวิร์ด (Keyword Ranking) เป็นหลัก ยิ่งอยู่บนหน้าแรก ๆ ของ Google และอยู่ในอันดับที่สูงมากเท่าไหร่ ก็แปลว่ามีโอกาสที่คนจะมองเห็นและคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของเรามากขึ้น แล้วสิ่งที่จะทำให้อันดับการค้นหาของคีย์เวิร์ดมันสูงขึ้นคืออะไรล่ะ? หลัก ๆ ก็คือเนื้อหาที่มีคุณภาพและผ่านการรังสรรค์ด้วย E-E-A-T Factor นั่นเอง!

แต่การติดอันดับนั้น ไม่ได้แปลว่าจะอยู่ตำแหน่งเดียวตลอดไป ถึงคุณจะเคยติดอันดับ 1 ที่หน้าแรกของ Google มาแล้ว ใช่ว่าพรุ่งนี้คุณจะรักษาตำแหน่งเดิมเอาไว้ได้โดยไม่ทำอะไร เว็บไซต์คู่แข่งสามารถพลิกคะแนนขึ้นมานำคุณได้ทุกเมื่อ หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณไปติดอยู่ในอันดับดี ๆ อย่างมั่นคง เป็นระยะเวลานาน คุณก็ควรให้คุณค่าและใส่ใจการทำ Google E-E-A-T Factor ในบทความด้วย

Keyword Ranking Example by Yes Web Design Studio

ตัวอย่างการติดอันดับการค้นหาบน Google

ความสำคัญของ E-E-A-T SEO

รู้หรือไม่ว่าทำไม… Google ถึงปล่อย E-E-A-T SEO ออกมา? เหตุผลก็มาจากบรรดาข้อมูลผิด ๆ ที่บริษัทต่าง ๆ ชอบปล่อยออกมา เพื่อทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่านั่นคือเรื่องจริง โดยเฉพาะกับพวกยาที่สามารถรักษาได้ทุกโรค โลกชั่นที่ทาแล้วผิวขาวทันที สบู่ที่ใช้แล้วช่วยลดไขมัน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและการรักษาโรคเป็นหลัก ไม่ว่าใครก็สามารถเขียนเนื้อหาเหล่านี้ลงบนในโลกออนไลน์ได้

และ Google ก็จะดึงเอาหน้าเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเยอะ ๆ มาแสดง โดยที่ไม่ได้มีการพิจารณาเนื้อหาเลยว่าเป็นเรื่องจริงไหมและน่าเชื่อถือมากเพียงใด เมื่อมีคนเชื่อข้อมูลเหล่านี้มาก ๆ มีการอุดหนุนและซื้อมาใช้ ผลลัพธ์กลับไม่ได้เป็นอย่างที่เคลมไว้ แถมยังส่งผลเสียต่อสุขภาพ และบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตเลย

ด้วยเหตุนี้ Google เลยตัดสินใจสร้าง Algorithm ที่ใช้ในการตรวจจับความน่าเชื่อถือข้อมูลขึ้นมา โดยให้ชื่อว่า E-A-T Factor หาก Algorithm นี้ตรวจพบว่าว่าหน้าเว็บไซต์ไหน ให้ข้อมูลผิด ๆ ไร้ความน่าเชื่อถือ และใช้คำเคลมเกินความเป็นจริง Google ก็จะปิดการมองเห็นหน้านั้นไป และให้คะแนนเว็บไซต์ที่ต่ำลง

Whats is E-E-A-T Factor

เครดิตภาพ onder

E-E-A-T Factor มีอะไรบ้าง?

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ Google นำมาพิจารณาคะแนนของการทำ SEO และเว็บไซต์ จะเป็นการให้ความสำคัญต่อตัวผู้ใช้งานเว็บไซต์ หรือผู้ที่ทำการค้นหา (User) เป็นหลัก ดังนั้น หากเราจะเขียนบทความขึ้นมาสักหนึ่งบทความ เราจะต้องคำนึงถึงตัวผู้ที่ค้นหาข้อมูลด้วย ซึ่งก็คือการให้ข้อมูลตามความเป็นจริง และมีประโยชน์นี่เอง สำหรับปัจจัยที่อยู่ใน E-E-A-T Factor จะมีอะไรบ้าง? เราไปดูกันต่อได้เลย!

Experience (ประสบการณ์)

E ตัวแรกคือ Experience ที่เป็นปัจจัยล่าสุดที่ Google ใส่เข้ามา Factor นี้ สิ่งนี้ก็คือประสบการ์ณ แต่ไม่ใช่ประสบการ์ณการใช้งานเว็บไซต์ของ User นะ แต่เป็นประสบการณ์ของตัวผู้เขียนเอง ที่ได้ถ่ายทอดลงไปในเนื้อหาที่เขียนขึ้นมา

ดังนั้น เนื้อหาจะมีการสอดแทรกความคิดเห็นส่วนตัวลงไปด้วย และถ้าไม่ซ้ำกับบทความเรื่องเดียวกันที่อยู่ในเว็บไซต์อื่นจะเป็นการดีที่สุด เพราะจะทำให้ Google รับรู้ได้ว่าผู้เขียนได้ไปสัมผัสกับเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเองจริง ๆ 

Expertise (ความเชียวชาญ)

E ตัวที่สองคือ Expertise หรือความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความ “รู้ลึก รู้จริง” ซึ่งมักจะถูกใช้ในบทความที่มีความเฉพาะทาง เช่น การศัลยกรรม การรักษาสุขภาพ การแพทย์ หรือการทำเว็บไซต์อย่างที่ Yes Web Design Studio เชี่ยวชาญ เป็นต้น

สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาผ่านเนื้อหาจะต้องลงลึกทุกรายละเอียด ให้ข้อมูลที่เฉพาะทางได้อย่างครบถ้วนและชัดเจน โดยอาจจะเป็นการเขียนบทความยาว ๆ (ความยาวอย่างน้อย 1,000 คำขึ้นไป), การเขียนบทความที่ถูกต้องตามหลัก On-Page SEO, การเขียนบทความที่มีเนื้อหาครบถ้วน และที่สำคัญคือการเขียนออกมาให้รู้เรื่อง

Expertise in specific field helps blogs become more trustworthy.

เครดิตภาพ Investopedia

Authoritativeness (อำนาจหรืออิทธิพล)

A เป็นตัวแทนของคำว่า Authoritativeness หรืออำนาจและความมีอิทธิพลต่อสิ่งนั้น ๆ  นั่นหมายความว่าในเมื่อคุณมีความเชี่ยวชาญ (Expertise) และมีประสบการณ์ (Experience) ในเรื่องนั้นมาก่อนแล้ว คุณย่อมเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพ น่าเชื่อถือ มีอำนาจ และมีอิทธิพลในด้านดังกล่าว

แนะนำให้ทุกหัวข้อและเนื้อหาทุกส่วนเป็นไปในเรื่องเดียวกัน, เพิ่มลิงก์เชื่อมโยงบทความที่เกี่ยวข้อง, เขียนเนื้อหาเรื่องเดียวกันแต่คนละหัวข้อ (Keyword) ขึ้นเว็บไซต์เรื่อย ๆ , มีการอัปเดตเนื้อหา หรือปีปัจจุบันอยู่เสมอ หรือแชร์บทความไปยัง Social Media เป็นต้น (ตรงส่วนนี้ จะเริ่มเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการทำ Off-Page SEO)

Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)

T ย่อมาจาก Trustworthiness หรือความน่าเชื่อถือ โดยความน่าเชื่อนี้จะถูกพิจารณาจากตัวข้อมูลที่เขียนขึ้น และภาพรวมของเว็บไซต์ประกอบกัน ข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณควรเป็นของจริงทั้งหมด และมีความโปร่งใส ซื่อสัตย์ (การทำ SEO แบบสายขาว 100% หรือทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎของ Google) 

อย่างการใส่ที่มาของข้อมูล, เว็บไซต์ที่อ้างอิง (External Link), ชื่อผู้เขียน, ชื่อประจำตำแหน่งของผู้เขียน, อาชีพของผู้เขียน หรือประวัติของผู้เขียน เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่นคุณเป็นเว็บไซต์ของโรงพยาบาลศัลยกรรมแห่งหนึ่ง เขียนบทความเกี่ยวกับการศัลยกรรมหน้าอก การลงชื่อผู้เขียนก็จะต้องเป็นชื่อแพทย์ ตำแหน่งศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง และถ้ามีภาพของผู้เขียนด้วยก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก!

สรุป

การทำ E-E-A-T คือการตรวจสอบเว็บไซต์วิธีหนึ่ง เพื่อเช็คว่าประสิทธิภาพ SEO ของเราเป็นอย่างไร เว็บไซต์เรามีคุณภาพไหม หรือเรามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่ง E-E-A-Tเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น เพราะ Google ยังมีปัจจัยที่ใช้วัดผลและวัดศักยภาพอีกเพียบ และถึงคุณจะผลิตเนื้อหาที่ตรงตามหลักเกณฑ์ E-A-T Factor แบบ 100% โดยไม่มีตกหล่น ก็ไม่ได้เห็นผลในทันทีอยู่ดี ซึ่งจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งไม่ต่างจาก SEO เลย ถึงจะเห็นผลตามที่คุณได้คาดหวังเอาไว้

อยากทำการตลาดออนไลน์ ติดต่อมาได้เลย!

Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Facebook : Yes Web Design Studio I Web Design Company Bangkok
Instagram : yeswebdesign_bkk
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

สิงหาคม 9, 2023
สิ่งที่คุณจะได้รับจากการทำ A/B Testing คืออะไร?

ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดผ่านช่องทางไหน จะเป็นการตลาดออนไลน์หรือออฟไลน์ ก็สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และวิธีการทำไปตามพฤติกรรมของลูกค้า หรือวัตถุประสงค์ในการทำแคมเปญของแบรนด์ได้ ซึ่งสิ่งที่เราเอาไว้วัดว่ากลยุทธ์ทางการตลาดที่เราทำนั้น ประสบผลสำเร็จหรือไม่ มักจะเป็นจำนวน Convertion หรือ KPI ตามที่ได้กำหนดไว้

ไม่ว่าจะเป็นจำนวนลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น, ยอดคำสั่งซื้อ, ยอดจองโปรโมชั่น, จำนวนคนที่แอดไลน์, จำนวนคนที่กรอกฟอร์มลงทะเบียนหน้าเว็บไซต์ หรือยอดขายตลอดทั้งแคมเปญ และเคล็ด (ไม่) ลับที่หลาย ๆ คนมักจะมองข้ามไป ตอนที่ทำแคมเปญทางการตลาดหรือทำเว็บไซต์นั้น ก็คือการทำ A/B Testing นั่นเอง 

ถ้าคุณเป็นคนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวง Digital Marketing น่าจะคุ้นหูและเข้าใจแล้วว่า A/B Testing คืออะไร แต่ถ้าใครยังเป็นน้องใหม่ในวงการนี้ ยังจำคำศัพท์หรือเครื่องมือทางการตลาดไม่ครบ ก็ไม่เป็นไร เพราะ Yes Web Design Studio) จะมาไขข้อสงสัยและอธิบายประสิทธิภาพของ A/B Testing ให้รู้กัน!

A/B Testig Examples in Web design

เครดิตภาพ Optimizely

A/B Testing คืออะไร?

A/B Testing คือวิธีการทดลองเชิงเปรียบเทียบรูปแบบหนึ่ง หรือบางคนอาจจะเรียกว่า Split Testing เป็นวิธีการที่มีไว้เพื่อตรวจสอบและวัดผลว่าการทำชิ้นงานแบบ A หรือแบบ B มีประสิทธิภาพและเห็นผลมากกว่ากัน

ตัวอย่างการทำ A/B Testing กับเว็บไซต์
คุณทำธุรกิจเกี่ยวกับคลินิกความงาม ต้องการเว็บไซต์ที่สวยและใช้งานได้จริง โดยเน้นให้คนเข้ามากรอกฟอร์มลงทะเบียน เพื่อรับส่วนลดค่าทำหัตถการ ซึ่งคุณไม่แน่ใจว่า “การใช้พื้นหลังสีขาวกับแบบฟอร์มสีชมพู” และ “การใช้พื้นหลังสีดำกับแบบฟอร์มสีชมพู” แบบไหนคนจะชอบและทำให้คนกรอกฟอร์มลงทะเบียนได้มากกว่ากัน จุดนี้เองที่จะทำให้เครื่องมือทางการตลาดอย่าง A/B Testing เริ่มเข้ามามีบทบาท!

คุณสามารถสร้างช่องทางการเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ทั้ง 2 แบบ ให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ เมื่อครบกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ ก็มาดูว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร หากผลลัพธ์ออกมาว่า “การใช้พื้นหลังสีขาวกับแบบฟอร์มสีชมพู” ทำให้คนกรอกฟอร์มเข้ามามากกว่า นั่นแปลว่า “การใช้พื้นหลังสีขาวกับแบบฟอร์มสีชมพู” ตอบโจทย์ User Experience และคุณควรจะเผยแพร่เวอร์ชั่นนี้ออกไป

นอกจาก A/B Testing  จะทำให้เรารู้ว่าควรออกแบบเว็บไซต์อย่างไรถึงจะถูกใจลูกค้าแล้ว เรายังได้เรียนรู้อีกว่าการออกแบบเว็บไซต์อย่างไรที่ไม่ดี ซึ่งตรงนี้ก็จะทำให้เราได้นำไปปรับใช้ หากจะทำเว็บไซต์ขึ้นมาอีกในอนาคต ต้องออกแบบอย่างไร? หรือทำ A/B Testing ด้วยดีไซน์อื่น ๆ ที่ไม่ซ้ำกับที่เคยทดสอบมาก่อน

อย่างไรก็ตาม การทำ A/B Testing ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะทำได้เพียง 2 แบบ (A กับ B) เท่านั้น คุณจะทดสอบหลาย ๆ แบบก็ได้ โดยแบบทดสอบแรกจะเรียกว่า “Control” ส่วนแบบทดสอบที่ 2 จะเรียกว่า “Variation” ส่วนแบบทดสอบถัด ๆ ไปในชุดเดียวกัน ก็จะถูกเรียกว่า “Variation 2” หรือ  “Variation 3 ” ตามลำดับ ทั้งนี้ ชื่อแบบทดสอบอาจจะเปลี่ยนเป็น A/B/C/D Testing ก็ได้

Traffic of A/B Testing Visual

เครดิตภาพ Towards Data Science

เป้าหมายของการทำ A/B Testing

ใช้ทดสอบว่ารูปแบบ, รูปภาพ, ข้อความ, เลย์เอาท์ หรือองค์ประกอบแบบไหน เหมาะกับผู้ใช้งานเว็บไซต์หรือผู้ที่พบเห็นมากที่สุด เพื่อเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ (เช่น จำนวนคนที่ลงทะเบียน หรือ ยอดการสั่งจองโปรโมชั่น) และนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์ทางการตลาดในอนาคต

ประโยชน์ของ A/B Testing

ประโยชน์ของการทำ A/B Testing ไม่ได้นำมาเพียงจุดประสงค์หลักที่คุณต้องการเท่านั้น ยังส่งผลดีต่อภาพรวมของเว็บไซต์ ทั้งในส่วนของหน้าบ้านและหลังบ้าน แถมยังรวมไปถึงผลลัพธ์อันดีงามต่อประสิทธิภาพในการทำ SEO อีกด้วย

  1. เจอวิธีการสร้างยอด Conversion ที่สูงขึ้น
  2. ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการลองผิดลองถูก ลองครั้งเดียวเจอทางที่ดีได้เลย
  3. ลด Bounce Rate ของเว็บไซต์ ไม่ให้สูงเกินไป จนส่งผลเสียต่อ SEO
  4. ส่งเสริมประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ดีให้กับ User
  5. ไม่ต้องมาเปลี่ยนดีไซน์ การจัดวางใหม่ตลอด ๆ เพราะเรารู้แล้วว่าหน้าเว็บแบบไหนที่มีประสิทธิภาพ

วิธีทำ A/B Testing

ไม่ว่าสิ่งที่คุณกำลังจะเริ่มทำคืออะไร คุณต้องมีการวางแผนและวางขั้นตอนการทำงานไว้ล่วงหน้า เมื่อเป้าหมายชัดเจนแล้ว ขั้นตอนการทำงานก็จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ไม่ออกนอกเส้นทาง และช่วยให้การทำ A/B Testing มีประสิทธิภาพและสามารถวัดผลได้จริง

  1. กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน
    เริ่มจากการกำหนดเป้าหมายหรือจุดประสงค์ในการทำแคมเปญหรือหน้าเว็บไซต์นั้นเสียก่อน เพื่อให้เรารู้ว่าหากจะวัด KPI ของการทำงานชิ้นนี้ ควรจะวัดจากอะไรเป็นหลัก อาจจะเป็นการเพิ่มจำนวนคนติดตาม, การเพิ่มยอดสั่งจองสินค้า, การเพิ่มจำนวนคนทะเบียน หรือต้องการให้คนเข้าร่วมกิจกรรมที่แบรนด์ได้จัดขึ้น
  1. วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อระบุปัญหาและวิธีแก้ไข
    เราต้องเอาข้อมูลเชิงลึกและข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้ามาวิเคราะห์ ว่าสิ่งที่ User ต้องการคืออะไร? , User เจอปัญหาอะไรระหว่างทางหรือไม่, User คิดอะไรอยู่ถึงกระทำสิ่งนั้น, User เข้ามาบนเว็บไซต์ผ่านช่องทางไหน, User ใช้เวลาในการอ่านหรือดูข้อมูลตรงส่วนไหนมากที่สุด หรือ อุปกรณ์ที่ User ใช้งานคืออะไร เป็นต้น

    เมื่อเรารู้แล้วว่าปัญหาที่ไปขัดขวางไม่ให้ Use กระทำสิ่งที่เราคาดหวังไว้คืออะไร เราก็จะสามารถหาวิธีการรับมือ และทำมาใช้กับ A/B Testing ได้
  1. ตั้งสมมติฐาน เพื่อทดสอบผลลัพธ์
    เราจะนำข้อมูลและประวัติของผลลัพธ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต มาตั้งสมมติฐานว่าเมื่อ User พบปัญหาเช่นนี้ แล้วเรามีการสร้างวิธีการรับมือแบบนี้ไป จากเดิมที่ลูกค้ากรอฟอร์มลงทะเบียนเดือนละ 15 คน จะเพิ่มขึ้นเป็นกี่คน? ซึ่งจะเป็นการกำหนด KPI ไปในตัว
  1. เริ่มทดสอบ
    สร้างเว็บไซต์ 2 หน้า และนำไปแสดงผลต่อ User ในจำนวนและเวลาที่เท่ากัน (แนะนำให้เป็น 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนขึ้นไป) เพื่อเก็บข้อมูลว่าสิ่งที่เราได้ทำไปนั้นเห็นผลหรือไม่ สำหรับผู้ที่ทำแคมเปญทางการตลาด เช่นการยิงโฆษณาบน Facebook อาจจะเริ่มทำ A/B Testing ในช่วงเวลาก่อนถึงแคมเปญจริงระยะหนึ่ง
  1. วิเคราะห์ผลที่ได้รับ
    เมื่อครบกำหนดเวลาของการทดสอบ เราก็จะนำผลที่ได้รับมาดูว่าตรงกับ KPI ที่เราได้ตั้งเป้าไว้หรือไม่ แบบทดสอบ A หรือ B มียอดใกล้เคียงกับ KPI มากที่สุด ทั้งนี้ ควรวิเคราะห์ผลที่ได้รับจากการทำ A/B Testing อย่างครบถ้วน ในหลาย ๆ มุม เพื่อให้เราสามารถนำสิ่งที่ได้จากการทดสอบไปใช้งานต่อได้จริง
Visual example of optimising for the best result of A/B Testing.

เครดิตภาพ Marketing Management

บทสรุป

สรุปได้ว่าการทำ A/B Testing คือวิธีการการทดสอบด้านการตลาดรูปแบบหนึ่ง เพื่อให้เรารู้ว่าเราควรจะเดินทางไปในทิศทางใด จึงจะตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างผลลัพธ์ให้กับเราได้มากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เราสามารถนำมาทำ A/B Testing ได้ก็มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าเว็บไซต์, ภาพยิงโฆษณา, คำโฆษณา, ข้อความ, คำบรรยายสินค้า, การตั้งชื่อสินค้า หรือ ปุ่ม Call to Action เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การทำ A/B Testing ไม่จำเป็นต้องทำเพียงครั้งเดียว คุณสามารถทำการทดสอบต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณจะเจอรูปแบบที่ “ใช่” ได้เลย

อยากทำการตลาดออนไลน์ ติดต่อมาได้เลย!

Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Facebook : Yes Web Design Studio I Web Design Company Bangkok
Instagram : yeswebdesign_bkk
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

กรกฎาคม 25, 2023
ดันเว็บให้ติดอันดับด้วยการปักหมุดใน Google Map !

วันนี้ Yes Web Design Studio จะมาแนะนำเคล็ด (ไม่) ลับ ในการดันอันดับเว็บไซต์หรืออันดับ SEO ให้พุ่ง ด้วยการปักหมุดใน Google Map !! และแน่นอนว่าข้อดีของการปักหมุดใน Google Map ไม่ได้มีประโยชน์ต่อการทำ SEO เพียงอย่างเดียว ยังมีประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณอีกเพียบเลยล่ะ!

ขอบอกว่าในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ถ้าเราจะเดินทางไปที่ไหนก็ต้องลำบากลำบน คอยดูแผนที่ในกระดาษหรือรูปภาพอยู่ตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้เราหลงทาง ทั้งต้องเช็คว่า ณ ปัจจุบันนี้ เราอยุ่บนส่วนไหนของแผนที่ และเป้าหมายที่เราต้องการจะไปนั้นอยู่ตรงไหน หากจะคำนวณระยะเวลาในการเดินทาง ก็คงต้องคาดเดาเอาเองทุกครั้งไป

แต่ในสมัยนี้สะดวกและไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย เพราะเราสามารถดูแผนที่ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งแผนที่ที่ใช้กันแบบสากลทั่วโลกก็คือ Google Map เราสามารถเห็นได้ทันทีว่าระหว่างเรากับเป้าหมายนั้น อยู่ห่างกันกี่กิโลเมตรและต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ในการเดินทา

ถ้าถามว่าจะทำยังไงให้ร้านขึ้นใน Google? การปักหมุดใน Google Map นี่แหละที่ช่วยได้ดีมาก! นอกจากนี้ ยังสำคัญต่อการทำเว็บไซต์ อันดับของ SEO และการทำธุรกิจอีกด้วย แต่ว่าจะสำคัญในแง่ไหนและเพราะอะไร มาหาคำตอบได้ในบทความนี้ไปกับพวกเรา Yes Web Design Studio ได้เลย!

Google Maps SEO example of finding Italian restaurant

การปักหมุดใน Google Map คืออะไร?

Google Map คือการบริการด้านแผนที่และเส้นทางทั่วโลกของ Google ที่เราสามารถเข้าไปใช้งานได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ เราจะเป็นผู้ดูแผนที่เพียงอย่างเดียว หรือจะปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Map ด้วยก็ได้ โดยการปักหมุดใน Google Map นั้น เราจะต้องมีบัญชี Google ก่อน และทำผ่าน Google My Business 

ซึ่งเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น Google My Business และ Google Map นี้ ใช้งานง่าย, สะดวกต่อการเดินทาง, มีรูปแบบการแสดงแผนที่ให้เลือกดูตามความสะดวก, มีความเป็นสากล, อัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์, ประเมินสภาพจราจรได้ และสามารถใช้ได้ทุกพื้นที่ทั่วโลก เรียกได้ว่าไม่ว่าคุณจะไปเที่ยวที่ไหนก็ใช้ Google Map ในการนำทางได้

ประโยชน์ของการปักหมุดใน Google Map

การปักหมุดใน Google Map เรียกได้ว่าเป็นทั้งการชมตำแหน่งที่ตั้งของผู้อื่น และเป็นการแบ่งปันตำแหน่งของคุณเองให้ผู้อื่นทราบด้วย ดังนั้น Google Map จึงมีประโยชน์ทั้งกับคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวหรือเปิดบริษัท และคนที่เป็นบุคคลทั่วไป

สำหรับคนที่ทำธุรกิจขอยกตัวอย่างเป็นกรณีที่คุณเปิดร้านกาแฟใหม่ ที่ตั้งของร้านอยู่ในซอยลึก ไม่สามารถมองเห็นจากถนนใหญ่ได้ และอย่างที่เราทราบกันว่าถนนหนทางในประเทศไทยนั้น มีความซับซ้อนชวนให้หลง-งงงวยอย่างมาก

หากคุณไม่ได้ปักหมุดร้านของคุณใน Google Map คุณต้องมาคอยโทรคุยอธิบายกับลูกค้าทุกรายว่าร้านของคุณอยู่ตรงไหน ต้องเลี้ยวตรงไหน มีจุดสังเกตคืออะไร และอื่น ๆ อีกมากมาย พอลูกค้าเห็นว่าเดินทางลำบาก ไปยาก ไม่มีแผนที่ให้ดูชัดเจน ลูกค้าก็จะเลือกเข้ามาใช้บริการของคุณน้อยลง ทำให้ยอดขายของคุณไม่สูงขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ และประโยชน์ของการปักหมุดใน Google Map มีดังนี้

  • รู้สถานที่ตั้งของร้าน โดยที่ไม่ต้องโทรสอบถามให้ยุ่งยาก
  • รู้ช่วงเวลาในการเปิดให้บริการและปิดบริการ
  • ทำให้ทราบว่าช่วงเวลาไหนเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะ/น้อย
  • สามารถใส่ช่องทางติดต่ออื่น ๆ อย่างเบอร์โทรศัพท์และเว็บไซต์ได้
  • ลูกค้าสามารถให้คะแนนและเขียนรีวิว เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ร้านได้
  • สามารถใส่เมนูอาหาร/เครื่องดื่ม เพื่อให้ลูกค้าเลือกชมก่อนได้
  • ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของร้านหรือลูกค้า ก็สามารถเพิ่มรูปภาพเข้าไปได้

วิธีปักหมุดร้าน ใน Google Map

เอาล่ะ มาดูวิธีปักหมุดร้าน ใน Google Map เพื่อสร้างประสบการณ์ดี ๆ และดันอันดับเว็บไซต์ให้ติดการค้นหาในตำแหน่งดี ๆ กันเถอะ!

  1. เข้าไปที่เว็บไซต์ของ Google My Business (https://www.google.com/business/
  2. จากนั้นให้กดที่ปุ่ม “จัดการเลย” ด้านล่างของหน้าเว็บไซต์ เพื่อลงทะเบียน หรือเข้าสู่ระบบโดยการใช้บัญชี Gmail
  3. ใส่ชื่อธุรกิจของคุณ, เลือกประเภทธุรกิจ และเพิ่มเว็บไซต์ของคุณ
  4. ใส่รายละเอียดที่อยู่หรือที่ตั้งของธุรกิจคุณ
  5. ปักหมุดที่อยู่คุณลงบนแผนที่
  6. ใส่ข้อมูลการติดต่ออย่างเบอร์โทรศัพท์ติดต่อและเว็บไซต์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดต่อคุณได้
  7. เมื่อคุณกรอกข้อมูลเสร็จสิ้นแล้ว คุณจะต้องยืนยันข้อมูลอีกครั้ง
  8. สุดท้ายคือการตกแต่งหน้าโปรไฟล์ของ Google My Business

สรุป

การปักหมุดใน Google Map (Google My Business ปักหมุดแผนที่) เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรละเลย นอกเหนือจากการปักหมุดใน Google Map แล้ว คุณควรใส่ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณใน Google My Business ให้ครบ เพื่อให้ผู้อื่นทราบว่าคุณให้บริการด้านใด มีเวลาทำการอย่างไร และอื่น ๆ ซึ่งรวมไปถึงรูปภาพภายในร้านของคุณด้วยเช่นกัน

หากคุณใส่รีวิวบน Google My Business (อาจจะแนะนำให้ลูกค้าที่ชื่นชอบคุณ รีวิวให้ก็ได้) คะแนนธุรกิจของคุณก็จะดียิ่งขึ้น ผู้คนจะค้นหาคุณเจอได้ง่าย เดินทางไปหาคุณได้สะดวก เว็บไซต์ของคุณจะมีประสิทธิภาพ คะแนนเว็บไซต์จะสูงขึ้น อีกทั้งอันดับของ SEO และ Traffic การเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณจะสูงด้วย

สุดท้ายนี้ การปักหมุดใน Google Map ไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป หากไม่มีการย้ายที่ตั้งก็ไม่ควรแก้ในส่วนของหมุดที่ตั้ง แต่ในส่วนของข้อมูล รูปภาพ และรีวิว คุณสามารถอัปเดตหรือใส่ข้อมูลเพิ่มเรื่อย ๆ ได้เลย!

ให้ Yes Web Design Studio ช่วยดูแลคุณ!

Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Facebook : Yes Web Design Studio I Web Design Company Bangkok
Instagram : yeswebdesign_bkk
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

กรกฎาคม 24, 2023
5 เหตุผลว่าทำไม Mobile First ถึงสำคัญต่อการทำเว็บไซต์

ก่อนที่จะไปทำความรู้จักเรื่องของ Mobile First ทาง Yes Web Design Studio ของเกริ่นก่อนว่าตั้งแต่ช่วงยุคสมัยหลายสิบปีที่ผ่านมา อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในด้านของการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียนการสอน การรับชมภาพยนตร์ การซื้อขายสินค้า การค้นคว้าหาข้อมูล และยังรวมไปถึงกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย

ทำไมต้องออกแบบเว็บไซต์แบบ Mobile First ?

อินเตอร์เน็ตเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเราจากคอมพิวเตอร์ก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ เชื่อมโยงตัวเราให้เข้ากับมือถืออย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในปี 2023 นี้ นับว่าเป็นยุคของ Mobile First โดยแท้จริง และเราเชื่อว่ามีคนไม่น้อยจะให้คำตอบว่า “โทรศัพท์มือถือคืออวัยวะที่ 33 หรือปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิต” เมื่อถามว่า “อะไรคือสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตในยุคนี้?”

เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เพียงแค่มีมือถือคู่ใจหนึ่งงเครื่อง พร้อมการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต คุณก็สามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้าและบริการ, การอ่านหนังสือ, การดูสื่อบันเทิงต่าง ๆ , การพูดคุยกับเพื่อน, การทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า, การหาความรู้หรือข้อมูลที่ต้องการ, การควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า, การโอนเงิน, การสั่งซื้ออาหาร ฯลฯ 

ด้วยสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั่ง หรือกว่า 90% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือทั้งนั้น ทำให้ทุกแพลตฟอร์มมีการออกแบบการใช้งานแบบ Mobile First ก่อนที่จะไปออกแบบเพื่อรองรับอุปกรณ์อื่น ๆ นั่นเอง

Mobile First Visual Image

Mobile First Design คืออะไร?

Mobile First Design คือ การออกแบบเพื่อรองรับการแสดงผลบนโทรศัพท์มือถือเป็นอันดับแรก เพื่อให้ผู้ที่ใช้งานผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว มีการแสดงผลลัพธ์ที่สวยงาม ตอบโจทย์การใช้งาน ใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน และได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับไป

และเมื่อเราทำ Mobile First Design ได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ จะนำมาซึ่งโอกาสต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะการทำ Mobile First Design บนเว็บไซต์ของคุณ

Mobile First Design Example

เครดิตภาพ maddevs

Google Index + Visibility in SERPs

เว็บไซต์ของคุณมักถูกแสดงผลบน Google ผ่านการค้นหาของผู้ใช้งานอยู่บ่อย ๆ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ Google ออกมาประกาศว่าจะมีการเริ่มใช้งานระบบ Mobile First Index นั่นหมายความว่า Google จะทำการ Index (รับข้อมูลเข้าระบบ เพื่อแสดงผลการค้นหาผ่านการจัดอันดับเว็บไซต์) หน้าเว็บไซต์ที่มีการแสดงผลแบบ Mobile First ก่อน

แล้วการแสดงผลการค้นหาบน Google สำคัญอย่างไร? 

Google เปรียบเสมือนพื้นที่ขนาดใหญ่หรือทำเลที่ตั้ง ส่วนเว็บไซต์ก็คือหน้าร้านของเรา สิ่งที่เรียกว่า “ทำเลทอง” สำหรับการเว็บไซต์และการทำ SEO นั้น คือการที่เว็บไซต์ของเราติดอันดับบนหน้าแรก ๆ ของกูเกิ้ล ยิ่งเป็นอันดับสูงเท่าไหร่ โอกาสที่คนมาเจอเว็บไซต์ของคุณก็จะง่ายขึ้น (อันดับที่สูงที่สุดคืออันดับ 1) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายของคุณได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ Mobile First Design ยังส่งผลต่อระยะเวลาของการโหลดหน้าเว็บไซต์ (PageSpeed) และประสิทธิภาพการใช้งานของเว็บไซต์อีกด้วย

Mobile Usage + Ease of Access

จากกราฟด้านล่างนี้ จะพบได้ว่าในช่วงปี 2009-2015 ผู้ใช้งานบน Desktop ลดลงอย่างต่อเนื่อง และถูกแซงโดยผู้ใช้งานผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งตรงตามที่เราได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ ผ่านการใช้มือถือมันช่างสะดวกและรวดเร็วกว่าคอมพิวเตอร์เป็นไหน ๆ ไม่ว่าคุณจะกำลังทำอะไรอยู่ จะกิน จะนอน จะเดิน จะวิ่ง ฯลฯ ก็สามารถเข้าถึงทุกข้อมูลได้อย่างทันทีทันใด

Visual Stats of internet usage on two devices

Experience / Expectation

Google ให้ความสำคัญกับการมอบประสบการณ์อันดีให้แก่ผู้ใช้งานอย่างมาก ซึ่ง Mobile First Design ก็ถือว่าเป็นการทำ Responsive Web Design (การแสดงผลที่รองรับการใช้งานบนทุกอุปกรณ์) ที่ช่วยมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งานเช่นกัน

การที่เราทำเช่นนี้ จะส่งผลให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์เกิดความประทับใจ, ใช้งานบนเว็บไซต์นานขึ้น, กดคลิกไปหน้าต่าง ๆ เพื่ออ่านต่ออย่างต่อเนื่อง ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้ Google มองว่าเว็บไซต์เรามีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การใช้งานบนมือถือ และผลักดันเว็บไซต์ของเราให้ไปแสดงผลบนหน้าการค้นหา ซึ่งอันดับ Keyword ที่ใช้ในการทำ SEO ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

Scaling

เรื่องของขนาดขององค์ประกอบต่าง ๆ บนเว็บไซต์นั้น คุณควรออกแบบและจัดวางผ่าน Mobile First Design ก่อน เพราะมือถือเป็นขนาดที่มีความเล็กที่สุด การขยายองค์ประกอบต่าง ๆ ให้ใหญ่ขึ้น จะสะดวกและรวดเร็วกว่าการออกแบบขนาดใหญ่มาหาเล็ก

หากคุณจัดองค์ประกอบบน Desktop มาเป็นอย่างดีแล้ว อยากจะจัดวางให้เล็กเพื่อให้เหมาะสมกับมือถือ ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องการใส่องค์ประกอบได้ไม่ครบ หรือดูยัดเยียดมากเกินไปได้

Design Visual of difference between responsive and mobile first design

เครดิตภาพ Frederic Gonzalo

Content Above Everything + Graceful Degradation

Mobile First Design คือการเริ่มออกแบบจากมือถือก่อน ส่วน Graceful Degradation คือการเริ่มต้นจากการออกแบบบน Desktop ก่อน ซึ่ง Graceful Degradation จะเน้นดึงเอาปังก์ชั่นการใช้งานหรือเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ให้ได้มากที่สุด จากนั้น ค่อยตัดบางส่วนที่ไม่สามารถใช้งานได้ดีบนมือถือออกไป เมื่อถึงขั้นตอนการออกแบบสำหรับมือถือ

ซึ่งวิธีนี้จะมีข้อเสียตรงที่ เราต้องมาเลือกและเช็คการทำงานของฟังก์ชั่น เทคโนโลยี หรือระบบต่าง ๆ ที่ใส่เข้าไปทีละตัว ว่าตัวไหนแสดงผลบนหน้าจอมือถืออย่างไรบ้าง ทำให้เสียเวลาอย่างมาก ในทางกลับกันหากเราทำ Mobile First Design ก่อน การเสริมเพิ่มเติมฟังก์ชั่นต่าง ๆ ในการแสดงผลแบบ Desktop ก็จะง่ายและรวดเร็วมากกว่า

Graceful Degradation - Website Design

เครดิตภาพ Bradfrost

แล้วการออกแบบบน Desktop ยังจำเป็นไหม?

การออกแบบเว็บไซต์ วางรูปแบบการใช้งาน หรือผลิตสื่อต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับการแสดงผลบน Desktop ยังคงสำคัญอยู่และไม่สามารถตัดทิ้งไปได้ เพราะคนส่วนหนึ่งมีการใช้คอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คเป็นประจำเช่นกัน

นอกจากการออกแบบเพื่อรองรับการแสดงผลบน Desktop แล้ว เรายังแนะนำให้คุณออกแบบเพื่อรองรับการแสดงผลบน Tablet ด้วย เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายให้ครบจากทุกอุปกรณ์ ซึ่งจุดนี้เองเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกประทับใจ และกลายมาเป็นลูกค้าของคุณในอนาคต

สรุป

ในยุคที่มือถือมีความสำคัญเช่นนี้ การออกแบบสิ่งต่าง ๆ อย่างเว็บไซต์หรือภาพกราฟฟิก ให้แสดงผลบนมือถือได้อย่างสวยงามเป็นอันดับแรก (Mobile First Design) เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาด หากคุณยังมองภาพได้ไม่ชัดเจนว่า Mobile First สำคัญอย่างไร ให้ลองนึกถึงพฤติกรรมของตัวคุณเอง ขณะที่ใช้งานมือถือเพื่อเสพข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ แต่ภาพดันใหญ่เกินไป ตัวอักษรก็เล็กเกินไป การแสดงผลเพี้ยนไปหมด ก็ทำให้ใช้งานยากใช่ไหมล่ะ? ดังนั้น อย่าลืมออกแบบการใช้งานสำหรับมือถือก่อน แล้วค่อยตามด้วย Desktop และ Tablet ล่ะ!

รับออกแบบเว็บไซต์ แสดงผลทุกอุปกรณ์

Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Facebook : Yes Web Design Studio I Web Design Company Bangkok
Instagram : yeswebdesign_bkk
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

หน้าแรก 217

มีโปรเจกต์ในใจแล้วใช่ไหม ?

Leave us your message
and we'll get back to you within 2 hours!

ฝากข้อความของคุณไว้
และเราจะตอบกลับไปหาคุณภายใน 2 ชั่วโมง!

(EN) Subscription Form