Low-Code กับ No-Code คืออะไร? แบบไหนดี พร้อม 10 เครื่องมือน่าใช้

บทความโดย Yes Web Design Studio

Low-Code กับ No-Code คืออะไร? แบบไหนดี พร้อม 10 เครื่องมือน่าใช้
Table of Contents

ในยุคที่ธุรกิจต้องปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็ว การพัฒนาแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์กลายเป็นความจำเป็นสำหรับองค์กรทุกขนาด แต่การขาดแคลนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีทักษะสูงและงบประมาณที่จำกัด ทำให้หลายธุรกิจต้องมองหาทางเลือกใหม่ แพลตฟอร์ม Low-Code และ No-Code จึงเข้ามาเปลี่ยนโฉมวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยแนวคิดที่ว่า “ใครก็สามารถสร้างแอปพลิเคชันได้” โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ

 

 

 

Low-Code คืออะไร?

 

แพลตฟอร์มการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยลดความซับซ้อนในการเขียนโค้ดลง โดยผู้ใช้สามารถออกแบบและสร้างแอปพลิเคชันผ่านอินเทอร์เฟซแบบกราฟิก แทนการเขียนโค้ดทั้งหมดด้วยตนเอง เพียงใช้เครื่องมือแบบลากและวาง (drag-and-drop) ชุดคำสั่งสำเร็จรูป และโมดูลต่าง ๆ ที่สามารถนำมาประกอบกันได้ตามต้องการ แต่จุดที่ทำให้ Low-Code แตกต่างคือ ความยืดหยุ่นในการเพิ่มเติมโค้ดเองได้เมื่อต้องการฟังก์ชันที่ซับซ้อนหรือเฉพาะทาง

นักพัฒนาที่ใช้ Low-Code จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลากับงานซ้ำซาก แต่สามารถโฟกัสไปที่การสร้างฟีเจอร์ที่มีความซับซ้อนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแอปพลิเคชัน พูดง่าย ๆ คือ Low-Code เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างโลกของนักพัฒนาทั่วไปกับผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านการเขียนโค้ดมากนัก

 

 

 

No-Code คืออะไร?

 

 

แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมเลยสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว เน้นการใช้อินเทอร์เฟซแบบภาพ (visual interface) ที่ใช้งานง่าย

 

ในโลกของ No-Code ทุกอย่างถูกทำให้เป็นภาพที่สื่อความหมายชัดเจน มีบล็อกคำสั่งที่เข้าใจง่าย แม่แบบสำเร็จรูป และฟังก์ชันที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อธุรกิจโดยเฉพาะ เช่น การสร้างฟอร์ม การจัดการฐานข้อมูล หรือการออกแบบหน้าเว็บไซต์

 

 

 

Low-Code vs. No-Code แตกต่างกันยังไง

 

ความแตกต่างหลักระหว่าง Low-Code และ No-Code อยู่ที่กลุ่มเป้าหมายและระดับความซับซ้อนของแอปพลิเคชันที่สร้างได้

 

Low-Code

 

  • ผสมผสานระหว่างการพัฒนาแบบภาพและการเขียนโค้ด
  • รองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อนสูง
  • ยืดหยุ่นในการปรับแต่งและขยายฟังก์ชัน
  • มีเครื่องมือสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ
  • เหมาะกับการพัฒนาแอปพลิเคชันระดับองค์กร

 

เหมาะสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ต้องการเพิ่มความเร็วในการทำงาน ทีมไอทีที่มีทรัพยากรจำกัด ธุรกิจที่ต้องการแอปพลิเคชันที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง หรือองค์กรที่มีระบบไอทีที่ซับซ้อนและต้องการเชื่อมต่อหลายระบบเข้าด้วยกัน

 

No-Code

 

  • เน้นอินเทอร์เฟซแบบภาพ 100%
  • มีแม่แบบสำเร็จรูปจำนวนมาก
  • เรียนรู้และใช้งานได้รวดเร็ว
  • มีข้อจำกัดด้านความยืดหยุ่นมากกว่า
  • เหมาะกับการสร้างแอปพลิเคชันที่มีฟังก์ชันไม่ซับซ้อนมาก

 

เหมาะสำหรับผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ผู้เชี่ยวชาญในสายงานที่ไม่ใช่ไอที สตาร์ทอัพที่ต้องการทดสอบแนวคิดอย่างรวดเร็ว หรือทีมที่ต้องการสร้างโซลูชันภายในองค์กรอย่างรวดเร็ว

 

 

Low-Code หรือ No-Code แบบไหนดีกว่ากัน?

 

การเลือกใช้แต่ละแพลตฟอร์มควรขึ้นอยู่กับความต้องการและบริบทการใช้งาน ถ้าคุณต้องการความเร็วในการพัฒนา ความง่ายในการใช้งาน และไม่ต้องการฟังก์ชันที่ซับซ้อนมาก No-Code อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่า แต่หากคุณต้องการความยืดหยุ่น การควบคุมที่มากขึ้น และความสามารถในการขยายระบบในอนาคต Low-Code จะเหมาะสมกว่า

 

 

 

ข้อดีและข้อจำกัดของทั้งสอง

 

Low-Code

 

ข้อดี

  • ความยืดหยุ่นสูงในการพัฒนาและปรับแต่ง
  • สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อนได้
  • รองรับการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ ได้หลากหลาย
  • เหมาะกับโครงการระยะยาวที่ต้องมีการขยายในอนาคต
  • ผู้พัฒนายังคงสามารถควบคุมโค้ดได้เมื่อต้องการ

 

ข้อจำกัด

  • มีความซับซ้อนในการเรียนรู้มากกว่า No-Code
  • อาจต้องการความรู้พื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรมบ้าง
  • ราคาสูงกว่าสำหรับแพลตฟอร์มบางตัว
  • การพัฒนาอาจใช้เวลานานกว่า No-Code

 

 

No-Code

 

ข้อดี

  • เรียนรู้และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
  • ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม
  • เหมาะกับการสร้างต้นแบบและทดสอบแนวคิด
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างนักพัฒนา
  • ระยะเวลาในการพัฒนาสั้นกว่ามาก

 

 

ข้อจำกัด

  • ข้อจำกัดด้านการปรับแต่งและความยืดหยุ่น
  • อาจไม่รองรับความต้องการเฉพาะทางที่ซับซ้อน
  • การขยายระบบในอนาคตอาจทำได้ยาก
  • อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพเมื่อระบบมีขนาดใหญ่ขึ้น

 

 

10 เครื่องมือ Low-Code และ No-Code ยอดนิยม

 

เครื่องมือ Low-Code

 

1. OutSystems

 

แนะนำเครื่องมือ Low-Code ยอดนิยม OutSystems

 

 

แพลตฟอร์ม Low-Code ที่ครบวงจรสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เน้นการพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีความปลอดภัยสูงและขยายขนาดได้ แพลตฟอร์มนี้มาพร้อมกับเครื่องมือสำหรับการพัฒนาทั้งเว็บและโมบายแอป พร้อมฟีเจอร์การติดตามประสิทธิภาพและการวิเคราะห์ข้อมูล 

 

Website : www.outsystems.com

 

 

2. Mendix 

 

แนะนำเครื่องมือ Low-Code ยอดนิยม Mendix

 

 

แพลตฟอร์มที่เน้นการทำงานร่วมกันระหว่างทีมธุรกิจและทีมไอที มีเครื่องมือสำหรับการออกแบบโมเดลข้อมูล การสร้างลอจิก และการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ที่ใช้งานง่าย Mendix ยังสนับสนุนการพัฒนาแอปแบบ multi-experience และรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI และ IoT 

 

Website : https://www.mendix.com/ 

 

 

3. Microsoft Power Apps

 

แนะนำเครื่องมือ Low-Code ยอดนิยม Microsoft Power Apps

 

 

Power Apps เป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft Power Platform ที่ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว จุดเด่นคือการเชื่อมต่อกับระบบนิเวศของ Microsoft ได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็น Office 365, Dynamics 365 หรือบริการอื่น ๆ บน Azure 

 

Website : powerapps.microsoft.com

 

 

4. Appian

 

แนะนำเครื่องมือ Low-Code ยอดนิยม Appian

 

 

แพลตฟอร์มที่เน้นการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ (Business Process Management) และการสร้างระบบอัตโนมัติ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับปรุงขั้นตอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีฟีเจอร์การจัดการเอกสาร การติดตามงาน และการวิเคราะห์ข้อมูลที่แข็งแกร่ง 

 

Website : www.appian.com

 

 

5. Zoho Creator

 

แนะนำเครื่องมือ Low-Code ยอดนิยม Zoho Creator

 

 

แพลตฟอร์มนี้สามารถเข้าถึงได้ง่ายสำหรับธุรกิจทุกขนาด เน้นความเรียบง่ายแต่มีพลัง มีฟังก์ชันการสร้างฟอร์ม การจัดการข้อมูล และการสร้างรายงาน ที่ใช้งานง่าย รวมถึงการเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในระบบนิเวศของ Zoho 

 

Website : www.zoho.com/creator

 

 

 

เครื่องมือ No-Code

 

1. Bubble

 

แนะนำเครื่องมือ No-Code ยอดนิยม Bubble

 

 

แพลตฟอร์ม No-Code ยอดนิยมสำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชันที่เต็มรูปแบบโดยไม่ต้องเขียนโค้ด จุดเด่นคือความสามารถในการสร้างแอปที่มีฟังก์ชันการทำงานซับซ้อนได้ มีระบบฐานข้อมูลในตัว การจัดการผู้ใช้ และรองรับการทำงานร่วมกับ API ภายนอก 

 

Website : bubble.io

 

 

2. Webflow

 

แนะนำเครื่องมือ No-Code ยอดนิยม Webflow

 

 

เครื่องมือที่ผสมผสานระหว่างระบบจัดการเนื้อหา (CMS) และเครื่องมือออกแบบเว็บไซต์ ช่วยให้คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ที่สวยงามและตอบสนองได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด เหมาะสำหรับนักออกแบบที่ต้องการควบคุมทุกรายละเอียดของเว็บไซต์ 

 

Website : www.webflow.com

 

 

3. Adalo

 

แนะนำเครื่องมือ No-Code ยอดนิยม Adalo

 

 

แพลตฟอร์มสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันบนมือถือแบบ No-Code มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายพร้อมกับคอมโพเนนต์สำเร็จรูปมากมาย คุณสามารถเชื่อมต่อกับ API ภายนอก จัดการฐานข้อมูล และเผยแพร่แอปไปยัง App Store และ Google Play ได้โดยตรง 

 

Website : www.adalo.com

 

 

4. Glide

 

แนะนำเครื่องมือ No-Code ยอดนิยม Glide

 

 

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสร้างแอปพลิเคชันมือถือจาก Google Sheets โดยไม่ต้องเขียนโค้ด เหมาะสำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้ Spreadsheet และต้องการเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบแอปที่ใช้งานง่าย การอัปเดตข้อมูลใน Google Sheets จะสะท้อนถึงแอปโดยอัตโนมัติ 

 

Website : www.glideapps.com

 

 

5. Zapier

 

แนะนำเครื่องมือ No-Code ยอดนิยม Zapier

 

 

เครื่องมือนี้ช่วยในการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่าง ๆ เข้าด้วยกันแบบอัตโนมัติ คุณสามารถสร้างขั้นตอนการทำงานอัตโนมัติ (workflow) ระหว่างแอปกว่า 3,000 รายการโดยไม่ต้องเขียนโค้ด ช่วยลดงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 

 

Website : https://zapier.com/ 

 

 

 

อนาคตของ Low-Code และ No-Code ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

 

อนาคตของ Low-Code และ No-Code กำลังสดใส และแนวโน้มสำคัญที่เราจะได้เห็นคือการผสมผสานกับเทคโนโลยี AI ที่จะช่วยให้การพัฒนาแอปง่ายขึ้นไปอีก โดย AI จะแนะนำและช่วยสร้างส่วนประกอบต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ ไปจนถึงการเกิดขึ้นของโซลูชันแบบ “fusion team” ที่นักธุรกิจและนักพัฒนาทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นผ่านแพลตฟอร์ม Low-Code

 

เครื่องมือที่มีความเฉพาะทางมากขึ้น เช่น แพลตฟอร์ม Low-Code สำหรับอุตสาหกรรมการเงิน การศึกษา หรือการดูแลสุขภาพโดยเฉพาะ และมีการพัฒนาแอปพลิเคชันที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น IoT บล็อกเชน และ AR/VR จะทำได้ง่ายขึ้นผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้

 

 

แนวทางการเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับธุรกิจ

 

การเลือกระหว่าง Low-Code และ No-Code ควรพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้

 

ความต้องการทางเทคนิค – วิเคราะห์ความซับซ้อนของแอปพลิเคชันที่ต้องการ หากต้องการฟังก์ชันที่มีความซับซ้อนสูงหรือต้องเชื่อมต่อกับระบบหลายระบบ Low-Code อาจเหมาะสมกว่า

 

ทักษะของทีม – พิจารณาทักษะที่มีอยู่ในทีมของคุณ หากทีมไม่มีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม No-Code คือตัวเลือกที่ดีกว่า

 

งบประมาณและเวลา – No-Code มักจะใช้งบประมาณและเวลาในการพัฒนาน้อยกว่า Low-Code แต่อาจมีข้อจำกัดในระยะยาว

 

ความต้องการในอนาคต – คิดถึงการขยายตัวในอนาคต หากคุณคาดว่าแอปพลิเคชันจะต้องเติบโตและมีความซับซ้อนมากขึ้น Low-Code จะรองรับความต้องการได้ดีกว่า

 

การบำรุงรักษา – พิจารณาว่าใครจะเป็นผู้ดูแลระบบในระยะยาว หากต้องการให้ทีมธุรกิจสามารถจัดการได้เอง No-Code อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

 

 

 

สรุป

 

Low-Code และ No-Code กำลังเปลี่ยนวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยทำให้การสร้างแอปพลิเคชันเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่โปรแกรมเมอร์มืออาชีพเท่านั้น ในท้ายที่สุด ทั้งสองแพลตฟอร์มนี้มีเป้าหมายเดียวกัน คือ การเพิ่มความเร็วในการพัฒนา ลดต้นทุน และทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและสร้างนวัตกรรมได้เร็วขึ้นในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

หากคุณกำลังมองหาทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้านการรับทำเว็บไซต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าของคุณ Yes Web Design Studio พร้อมช่วยคุณ เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทยที่ให้บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress และรับทําเว็บไซต์ e-commerce ครบวงจรไปจนถึงบริการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์ครบวงจร พร้อมช่วยพัฒนาเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับความต้องการทางธุรกิจของคุณให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

 

Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

 

มีโปรเจกต์ในใจแล้วใช่ไหม ?