เว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จในการติดอันดับบน Google ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มาจากการวางโครงสร้างเนื้อหาอย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะการใช้ Heading Tag ที่มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารทั้งกับผู้อ่านและเครื่องมือค้นหา เปรียบเสมือนป้ายบอกทางในร้านค้าขนาดใหญ่ ที่ช่วยให้ลูกค้าเดินหาสิ่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว Heading Tag ก็ทำหน้าที่คล้ายกันในโลกออนไลน์
Heading Tag คืออะไร?
Heading Tag คือ HTML Tag ที่ใช้กำหนดหัวข้อและหัวข้อย่อยบนหน้าเว็บไซต์ เริ่มตั้งแต่ H1 ซึ่งเป็นหัวข้อใหญ่ที่สุด ไล่ลำดับความสำคัญลงมาถึง H6 ที่เล็กที่สุด แต่ละระดับมีความสำคัญต่างกัน
H1: หัวข้อหลักของหน้า มักเป็นชื่อบทความหรือชื่อหน้า
H2: หัวข้อรองที่แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนใหญ่ ๆ
H3 – H6: หัวข้อย่อยที่แตกประเด็นจากหัวข้อ H2 ลงไปตามลำดับ
Heading Tag จึงเป็นเสมือนโครงร่างที่บอกว่าเนื้อหาในหน้านั้น ๆ พูดถึงอะไรบ้าง และมีการจัดระเบียบข้อมูลอย่างไร
รูปแบบการเขียน Heading ใน HTML
การเขียน Heading Tag ในภาษา HTML มีรูปแบบดังนี้
<h1>นี่คือหัวข้อหลักของหน้า</h1>
<h2>หัวข้อรองลำดับที่ 1</h2>
<h3>หัวข้อย่อยของ H2</h3>
<h4>หัวข้อย่อยของ H3</h4>
<h5>หัวข้อย่อยของ H4</h5>
<h6>หัวข้อย่อยของ H5</h6>
เมื่อเขียนโค้ด HTML แบบนี้ เบราว์เซอร์จะแสดงผลข้อความให้มีขนาดแตกต่างกันตามลำดับความสำคัญ โดย H1 จะมีขนาดใหญ่ที่สุด และเล็กลงเรื่อย ๆ จนถึง H6
ตัวอย่าง Heading Tag ในหน้าเว็บไซต์
ลองดูตัวอย่างการใช้ Heading Tag จากเว็บไซต์ข่าวชื่อดัง
H1: วิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ส่งผลกระทบหลายจังหวัด
H2: สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
H3: พื้นที่ได้รับผลกระทบหนัก
H3: มาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน
H2: แนวโน้มสภาพอากาศในช่วง 7 วันข้างหน้า
H3: การพยากรณ์ปริมาณน้ำฝน
H3: การเตรียมรับมือของหน่วยงานรัฐ
จากตัวอย่าง จะเห็นว่าการจัดโครงสร้าง Heading ช่วยแบ่งเนื้อหาเป็นส่วน ๆ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของบทความได้ทันที และสามารถเลือกอ่านเฉพาะส่วนที่สนใจได้
ประเภทของ Header Tag มีอะไรบ้าง?
Heading Tag แบ่งออกเป็น 6 ระดับ แต่ละระดับมีบทบาทเฉพาะ
- H1 – ใช้สำหรับหัวข้อหลักของหน้า โดยปกติควรมีเพียงหนึ่งแท็ก H1 ต่อหนึ่งหน้าเว็บ
- H2 – ใช้สำหรับแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนหลัก ๆ
- H3 – ใช้เป็นหัวข้อย่อยภายใต้ H2
- H4 – ใช้เป็นหัวข้อย่อยภายใต้ H3
- H5 – ใช้เป็นหัวข้อย่อยภายใต้ H4
- H6 – ใช้เป็นหัวข้อย่อยที่เล็กที่สุด
ในทางปฏิบัติ เว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะใช้เพียง H1 ถึง H4 เนื่องจากการลงลึกไปถึง H5 และ H6 มักทำให้เนื้อหาซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้อ่าน
ความสำคัญของ Heading Tag ต่อ SEO
ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเนื้อหา
เวลาที่ Google Bot เข้ามาตรวจสอบเว็บไซต์ มันจะอ่านโค้ด HTML เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหา การใช้ Heading Tag อย่างเหมาะสมช่วยให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาส่วนไหนสำคัญ และเกี่ยวข้องกันอย่างไร
เช่น เมื่อมีการใช้ H1 หนึ่งครั้งในหน้าเพื่อระบุหัวข้อหลัก และใช้ H2 แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ Google จะเข้าใจว่าหน้านี้เกี่ยวกับอะไร และมีประเด็นย่อยอะไรบ้าง ซึ่งช่วยในการจัดหมวดหมู่เนื้อหาและจัดอันดับในผลการค้นหา
เน้นคำหลัก (Keywords)
Heading Tag เป็นพื้นที่สำคัญในการใส่ Keywords ที่ต้องการให้ติดอันดับ Google ให้น้ำหนักกับคำที่อยู่ใน Heading มากกว่าคำที่อยู่ในเนื้อหาทั่วไป การใส่คำหลักใน H1 และ H2 อย่างเหมาะสมจะช่วยบอก Google ว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้น ๆ
ตัวอย่างเช่น หากต้องการติดอันดับคำว่า “การทำ SEO” การใช้ H1 ว่า “4 เทคนิคการทำ SEO ด้วยตัวเอง แบบไม่ต้องเสียตังค์” และ H2 เช่น “การทำ SEO สำคัญยังไง” จะช่วยบอก Google ว่าเนื้อหานี้เกี่ยวกับการทำเค้กช็อกโกแลตจริง ๆ
ส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience)
Heading Tag ไม่เพียงสำคัญต่อ Google แต่ยังมีผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้งานด้วย การมีหัวข้อที่ชัดเจนช่วยให้ผู้อ่านกวาดสายตาหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องอ่านทั้งหมด
เมื่อผู้ใช้พบว่าเว็บไซต์ของคุณจัดระเบียบข้อมูลได้ดี พวกเขาจะใช้เวลาอยู่บนเว็บนานขึ้น มีโอกาสคลิกดูหน้าอื่น ๆ และมีแนวโน้มกลับมาใช้บริการอีก ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ Google นำมาพิจารณาในการจัดอันดับ
เพิ่มโอกาสในการจัดอันดับบนหน้า SERP
การใช้ Heading Tag อย่างถูกต้องเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงบนหน้าผลการค้นหา (SERP) เพราะ
- ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น
- ส่งเสริมการใช้คำหลักอย่างเป็นธรรมชาติ
- ช่วยเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) เนื่องจากผู้ใช้มักคลิกเข้าชมเว็บที่มีโครงสร้างชัดเจน
- ลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) ซึ่งเป็นสัญญาณบวกสำหรับ Google
เพิ่มโอกาสในการแสดงผล Rich Snippets
Google มักดึงข้อมูลจาก Heading Tag มาแสดงเป็น Rich Snippets หรือ Featured Snippets บนหน้าผลการค้นหา โดยเฉพาะเนื้อหาที่ตอบคำถามโดยตรง
ตัวอย่างเช่น หากคุณมี H2 ว่า “วิธีการล้างเครื่องซักผ้า” และตามด้วยคำอธิบายที่ชัดเจนเป็นขั้นตอน Google อาจดึงข้อมูลนี้ไปแสดงเป็น Featured Snippet เมื่อมีคนค้นหาคำว่า “วิธีล้างเครื่องซักผ้า” ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
ช่วยในการทำ SEO เชิงเทคนิค
Heading Tag ยังมีบทบาทในการทำ SEO เชิงเทคนิค ดังนี้
การทำ Table of Contents – เมื่อใช้ Heading อย่างเป็นระบบ จะสามารถสร้าง Table of Contents อัตโนมัติได้ ช่วยให้ผู้อ่านนำทางไปยังส่วนที่สนใจได้ทันที
การทำ Jump Links – สามารถสร้างลิงก์ที่กระโดดไปยังส่วนต่างๆ ของหน้าได้ โดยใช้ ID ของ Heading เป็นเป้าหมาย
การทำ Structured Data – Heading ที่ดีช่วยในการทำ Schema Markup ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเรียงลำดับ Heading Tag ที่เหมาะสม
ควรใช้ H1 เพียงหนึ่งครั้งต่อหน้า
H1 ควรปรากฏเพียงครั้งเดียวในแต่ละหน้า และควรสะท้อนเนื้อหาหลักของหน้านั้นๆ การใช้ H1 หลายครั้งอาจทำให้ Google สับสนว่าประเด็นหลักของหน้าคืออะไร
H1 ควรมีลักษณะดังนี้
- บ่งบอกเนื้อหาของหน้าได้ชัดเจน
- มีความยาวเหมาะสม (ประมาณ 50-70 ตัวอักษร)
- มีคำหลักที่ต้องการให้ติดอันดับ
- เขียนเพื่อให้ประโยชน์ต่อผู้อ่าน ไม่ใช่แค่เพื่อ SEO เท่านั้น
การลำดับชั้น H2-H6 ให้เหมือนสารบัญเนื้อหา
การจัดลำดับ Heading ควรเป็นเหมือนสารบัญหนังสือ โดยมีหลักการดังนี้
- H1: ชื่อเรื่องหลักของหน้า
- H2: หัวข้อใหญ่ที่แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ
- H3: หัวข้อย่อยภายใต้ H2
- H4: หัวข้อย่อยภายใต้ H3
- H5-H6: หัวข้อย่อยที่ลึกลงไปอีก
การข้ามลำดับ เช่น จาก H2 ไปเป็น H4 โดยไม่มี H3 คั่นกลาง จะทำให้โครงสร้างเนื้อหาไม่เป็นระเบียบ และอาจสับสนทั้งผู้อ่านและ Google
ตัวอย่างการจัดลำดับ Heading ที่ถูกต้องและผิดพลาด
ตัวอย่างที่ถูกต้อง
<h1>วิธีปลูกต้นไม้ในบ้าน</h1>
<p>เนื้อหานำ…</p>
<h2>การเลือกต้นไม้ที่เหมาะกับบ้าน</h2>
<p>เนื้อหา…</p>
<h3>ต้นไม้ที่ทนร้อน</h3>
<p>เนื้อหา…</p>
<h3>ต้นไม้ที่ชอบร่ม</h3>
<p>เนื้อหา…</p>
<h2>วิธีการดูแลต้นไม้</h2>
<p>เนื้อหา…</p>
<h3>การรดน้ำที่ถูกวิธี</h3>
<p>เนื้อหา…</p>
<h4>ความถี่ในการรดน้ำ</h4>
<p>เนื้อหา…</p>
ตัวอย่างที่ผิดพลาด:
<h1>วิธีปลูกต้นไม้ในบ้าน</h1>
<p>เนื้อหานำ…</p>
<h3>การเลือกต้นไม้ที่เหมาะกับบ้าน</h3> <!– ผิด: ข้ามจาก H1 ไป H3 –>
<p>เนื้อหา…</p>
<h2>ต้นไม้ที่ทนร้อน</h2> <!– ผิด: H2 ควรอยู่ก่อน H3 –>
<p>เนื้อหา…</p>
<h1>วิธีการดูแลต้นไม้</h1> <!– ผิด: มี H1 ซ้ำ –>
<p>เนื้อหา…</p>
เครื่องมือในการตรวจสอบ Header Tag มีอะไรบ้าง
การตรวจสอบ Heading Tag บนเว็บไซต์สามารถทำได้หลายวิธี
View Page Source – เปิดหน้าเว็บแล้วคลิกขวา เลือก “View Page Source” หรือกด Ctrl+U เพื่อดูโค้ด HTML ซึ่งจะแสดง Heading Tag ทั้งหมด
Chrome DevTools – กด F12 หรือคลิกขวาที่หน้าเว็บและเลือก “Inspect” เพื่อเปิด DevTools จากนั้นดูในส่วน Elements
SEO Tools
เครื่องมือเฉพาะทางสำหรับตรวจสอบ SEO ที่มีฟีเจอร์วิเคราะห์ Heading Tag
Screaming Frog – สแกนเว็บไซต์และรายงานโครงสร้าง Heading
SEMrush – มีเครื่องมือ Site Audit ที่ตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับ Heading
Ahrefs – ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Heading Structure ในส่วนของ Site Audit
Browser Extensions
HeadingsMap – แสดงโครงสร้าง Heading ในรูปแบบแผนผัง
SEO META in 1 CLICK – แสดงข้อมูล SEO รวมถึง Heading Tags
Web Developer – มีฟีเจอร์ “Display Headings” ที่ไฮไลท์ Heading ทั้งหมดบนหน้าเว็บ
การตรวจสอบเป็นประจำจะช่วยให้เว็บไซต์มีโครงสร้าง Heading ที่เหมาะสม ส่งผลดีต่อ SEO ในระยะยาว
ข้อควรระวังและเทคนิคการใช้งาน Heading Tag
หลีกเลี่ยงการใช้ Heading เพื่อเน้นแค่รูปแบบ
หลายคนใช้ Heading Tag เพียงเพื่อทำให้ข้อความมีขนาดใหญ่หรือเด่นชัด ซึ่งเป็นการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ หากต้องการเน้นข้อความโดยไม่ต้องการให้เป็นหัวข้อ ควรใช้ CSS แทน เช่น
<!– ไม่ควรทำ –>
<h2>ข้อความนี้ไม่ใช่หัวข้อ แต่ต้องการให้ตัวใหญ่</h2>
<!– ควรทำแบบนี้ –>
<p class=”highlight”>ข้อความนี้ไม่ใช่หัวข้อ แต่ต้องการให้ตัวใหญ่</p>
และกำหนดสไตล์ใน CSS
.highlight {
font-size: 1.5em;
font-weight: bold;
}
การใส่คีย์เวิร์ดลงใน Heading อย่างเป็นธรรมชาติ
การใส่คีย์เวิร์ดใน Heading เป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องทำอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดจนเกินไป เช่น ใส่คีย์เวิร์ดหลักใน H1 และ H2 เขียนให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย และใช้คีย์เวิร์ดรองใน H3-H6 เพื่อเสริมความหลากหลาย
วิธีที่ควรหลีกเลี่ยง
- ใส่คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ ในทุก Heading
- เขียน Heading ที่ยาวเกินไปเพื่อยัดคีย์เวิร์ด
- ใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาจริง ๆ
เครื่องมือช่วยตรวจสอบ Heading Structure บนเว็บ
นอกจากเครื่องมือที่กล่าวไปแล้ว ยังมีวิธีการตรวจสอบ Heading Structure เพิ่มเติม
CSS Selectors – ใช้ CSS Selector เพื่อไฮไลท์ Heading ทั้งหมด
JavaScript Console – ใช้ JavaScript เพื่อรวบรวมและแสดง Heading ทั้งหมด
Accessibility Tools – เครื่องมือ Accessibility เช่น WAVE หรือ axe จะช่วยตรวจสอบการใช้ Heading ที่ถูกต้องตามหลักการเข้าถึงเว็บ (Web Accessibility)
ใช้อย่างไรให้ได้ผล SEO ดีและไม่ส่งผลเสีย
การใช้ Heading Tag ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ SEO มีแนวทางดังนี้
วางแผน – ก่อนเขียนบทความSEO ควรวางโครงสร้าง Heading ให้ชัดเจน เพื่อให้เนื้อหาไหลลื่น
H1 ที่ตรงประเด็น – ใส่คีย์เวิร์ดหลักใน H1 และเขียนให้น่าสนใจ เพื่อดึงดูดทั้งผู้อ่านและ Google
ความสม่ำเสมอ – ใช้รูปแบบเดียวกันในการเขียน Heading ทั่วทั้งเว็บไซต์ เช่น หากใช้ Title Case ใน H2 ก็ควรใช้แบบเดียวกันทั้งหมด
ความยาวพอเหมาะ – Heading ไม่ควรยาวเกิน 70 ตัวอักษร และควรสื่อความหมายได้กระชับ
คำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลัก – เขียน Heading เพื่อช่วยผู้อ่านในการนำทางไปยังข้อมูลที่ต้องการ ไม่ใช่แค่เพื่อ SEO
ทดสอบการมองเห็น – ตรวจสอบว่า Heading มองเห็นได้ชัดเจนบนอุปกรณ์ทุกประเภท ทั้งคอมพิวเตอร์และมือถือ
เว้นระยะห่าง – เว้นระยะห่างระหว่าง Heading และเนื้อหาให้เหมาะสม เพื่อความสวยงามและอ่านง่าย
สรุป
Heading Tag เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ การใช้งานอย่างถูกต้องช่วยทั้งในแง่การจัดอันดับบน Google และประสบการณ์ผู้ใช้งาน เพราะช่วยให้ทั้งเครื่องมือค้นหาและผู้อ่านเข้าใจโครงสร้างเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเขียนเนื้อหา นักพัฒนาเว็บ หรือผู้ดูแลเว็บไซต์ การให้ความสำคัญกับ Heading Tag คือหนึ่งในวิธีง่าย ๆ ที่จะยกระดับประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์ได้อย่างเห็นผล
หากเว็บไซต์ของคุณไม่มี Traffic เข้ามาเลย ดูไม่น่าใช้งาน หรือต้องการทำเว็บไซต์ใหม่ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าของคุณ สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของ Yes Web Design Studio ได้เลย เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทย รับทำเว็บไซต์ครบวงจร ซึ่งรวมไปถึงบริการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์ด้วยเช่นกัน
Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)