การทำ SEO ให้สำเร็จและมีประสิทธิภาพนั้น จะต้องประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยหลัก ๆ คือ On-Page SEO, Off-Page SEO และ Technique SEO หากคุณมีการปรับปรุงทั้ง 3 ปัจจัยนี้ได้ถูกต้องตามหลัก รับรองว่าเว็บไซต์ของคุณจะมี Traffic เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และปรากฏอยู่บนหน้า SERPs ที่อันดับสูง ๆ อย่างแน่นอน
ในวันนี้ Yes Web Design Studio (บริษัททำเว็บไซต์ชั้นนำในประเทศไทย) จะมาแนะนำการทำ On-Page SEO ให้คุณรู้จักกัน ซึ่งจะมาพร้อมคำอธิบายว่า On-Page SEO คืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร? และแนะนำเทคนิคพื้นฐานในการปรับแต่ง On-Page SEO ให้ทราบด้วย เพื่อที่จะให้คุณสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพด้วยตัวของคุณเองได้!
On-Page SEO คืออะไร?
On-Site SEO หรือ On-Page SEO คือ องค์ประกอบสำคัญในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ โดยจะเป็นการปรับแต่งและปรับปรุงสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าเพจเท่านั้น ซึ่งมีเป้าหมายคือการทำให้ User หรือผู้เข้าชมเว็บไซต์เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังดูอยู่คืออะไร? และทำให้ Google Bot เข้ามาตรวจสอบและวัดผลออกมาเป็นการจัดอันดับการค้นหานั่นเอง
ประโยชน์ของการปรับแต่ง On-Page SEO
- ช่วยมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งาน (User experience)
- ทำให้ติดการค้นหาบน SERPs (Search Engine Results Page) ในอันดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม
- ช่วยเพิ่ม Organic Traffic ได้อย่างยั่งยืน
- ช่วยสร้าง Brand Awareness ได้ดี
- เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ เว็บไซต์โหลดไว ไม่อืด ไม่ช้า ไม่ค้าง ไม่จอขาว
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Local SEO
- ช่วยลด Bounce Rate หรืออัตราการตีกลับได้
ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง Bounce Rate
ถ้าผู้ชมเข้ามาในเว็บไซต์ของเราเพียงหน้าเดียวและกดปิดออกไป โดยไม่ได้มีการคลิกไปที่หน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ต่อ นั่นแปลว่าเว็บไซต์ของเราอาจจะไม่ตอบโจทย์การใช้งาน หรือไม่มีสิ่งที่ผู้ชมกำลังมองหาอยู่ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเรื่อย ๆ แสดงว่าเว็บไซต์ไม่ตอบโจทย์การใช้งาน และจะทำให้ Bounce Rate สูงขึ้นในที่สุด

เครดิตภาพ Freepik
On-Page SEO สำคัญอย่างไร?
เคยไหม? เว็บไซต์ก็ทำ บทความก็มี เนื้อหาก็เยอะ แต่ดันไม่ติดอันดับการค้นหาบน Google ในตำแหน่งดี ๆ สักที! ปัญหาเหล่านี้อาจจะมาจากการที่คุณละเลยการทำ SEO On-Page ก็ได้!
ตัวอย่าง
นาย A ทำธุรกิจเมล็ดกาแฟ ได้ยินคนบอกว่าต้องมีเว็บไซต์และทำบทความลงด้วยนะ ถึงจะทำให้คนเห็นเว็บไซต์เราเยอะ ๆ และทำให้ขายของได้มาก ๆ นาย A จึงเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาและโพสต์บทความลงไป แต่บทความนั้นเป็นบทความเหมือนที่เขียนเพื่อโพสต์ลง Facebook เลย ไม่มีการเขียนบทความและตั้งค่าเว็บไซต์ โดยคำนึงถึง On-Page SEO
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือเว็บไซต์ของนาย A แทบไม่มีคนเข้าถึงด้วยวิธีธรรมชาติ (Organic Search) เลย หากไม่ยิงโฆษณาก็จะไม่มีคนเข้าชมเว็บไซต์ ยอดขายก็ไม่ได้ดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมาจากการที่ Google ไม่ได้ดึงหน้าต่าง ๆ ของเว็บไซต์มาจัดทำดัชนี ดังนั้น จึงไม่มีการนำเว็บไซต์ของนาย A มาจัดอันดับบนหน้าการค้นหา
สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ มาจากการที่ไม่ได้มีการวางแผนโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี, ไม่รู้ว่าต้องออกแบบเว็บไซต์อย่างไร, ไม่ได้มีการทำ On-Page SEO, ไม่ได้เขียนบทความเชิง SEO หรือไม่ได้ตั้งค่าต่าง ๆ บนเว็บไซต์เพื่อรองรับการทำ SEO เป็นต้น
ดังนั้น หากคุณเลือกที่จะเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาแล้ว อย่าลืมทำ On-Page SEO และผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของเว็บไซต์ด้วยล่ะ! แต่คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพราะการทำ SEO เป็นการทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน คุณถึงจะเริ่มติดอันดับการค้นหา
7 เทคนิคพื้นฐานในการทำ On-Page SEO
SEO On-Page มีองค์ประกอบเล็ก ๆ แต่สำคัญอยู่มากมาย เป้าหมายสำคัญคือการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพื่อให้ระบบของ Google มองว่าเว็บไซต์ของเราให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จริง มีความน่าเชื่อถือ สามารถนำไปใช้งานได้ และเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ชมบนเว็บไซต์ เรียกได้ว่าการทำ On-Page SEO นั่น จะตอบโจทย์ทั้งผู้อ่านและทั้ง Google เลยทีเดียว
หลังจากที่คุณได้เรียนรู้และเข้าใจเทคนิคในการทำ SEO On-Page จากหัวข้อนี้แล้ว ในขั้นตอนการผลิตเนื้อหาบทความ อย่าลืมเอาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ลงไปประกอบด้วยล่ะ! เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้บทความบนเว็บไซต์ ไปปรากฏอยู่บนหน้าการค้นหาของ Google ได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง
1. Keyword
Keyword คือสิ่งที่เอาไว้ใช้เรียกกลุ่มคำที่มีคนค้นหาจริงบน Google เราต้องเริ่มต้นที่การค้นหา Keyword เป็นอันดับแรก โดยเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณมากที่สุด เพื่อให้คุณได้พบกับกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจในด้านนั้นจริง ๆ อย่างนาย A ทำธุรกิจเกี่ยวกับเมล็ดกาแฟ อาจจะเลือกใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกาแฟ, เมล็ดกาแฟ, การทำกาแฟ หรือร้านกาแฟ เป็นต้น
2. Meta Tag
Meta Tag เป็นส่วนของข้อความที่บ่งบอกว่าหน้าเว็บนั้น ๆ พูดถึงเรื่องอะไร? ซึ่งจะปรากฏอยู่บนหน้าการค้นหา เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายมองเห็นเป็นอันดับแรก จะตัดสินใจคลิกเข้าเว็บไซต์ของเราเพื่ออ่านข้อมูลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีการเขียน Meta Tag ได้ดีและมัดใจมากแค่ไหน
Mata Tag ประกอบไปด้วย Title (ส่วนสีแดง) และ Meta Description (ส่วนสีน้ำเงิน) โดยมีหลักในการเขียนคือคุณจะต้องใส่ Keyword ที่ต้องการเข้าไป เขียนให้กระชับเข้าใจง่าย และต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาภายในหน้านั้น ๆ ด้วย

3. Heading Tag
Heading Tag หรือ HTML Tag คือหัวข้อของบทความ โดยจะมีทั้งหมด 6 ระดับ (H1 – H6) เรียงตามความสำคัญนั่นเอง สำหรับ Heading Tag ที่ต้องมีทุกหน้าทุกบทความก็คือ H1 และ H2 เพราะเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุด Google สามารถตรวจสอบได้ไวที่สุด และผู้อ่านจะเข้าใจได้ในทันทีว่ามีการพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง!
- H1 คือ หัวข้อใหญ่ของทั้งบทความ (สำคัญ ต้องมีทุกหน้า หน้าละ 1 หัวข้อ)
- H2 คือ หัวข้อใหญ่ของแต่ละเรื่องที่อยู่ในเนื้อหา (สำคัญ ต้องมีทุกหน้า หน้าละ 4 หัวข้อขึ้นไป แต่ไม่เกิน 7 หัวข้อ)
- H3 คือ หัวข้อย่อยที่อยู่ภายใต้ H2 หรือหัวข้อที่ไม่ได้สำคัญนัก (ควรมีอย่างน้อย 1 หัวข้อ)
- H4 – H6 คือ หัวข้อที่เล็กที่สุด ไม่จำเป็นต้องมี จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้

เครดิตภาพ rankwatch
4. URL
URL (Uniform Resource Locator) คือที่อยู่ของหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า แนะนำให้ใส่ Keyword เข้าไปใน URL ด้วย โดยจะต้องมีการแต่งเป็นประโยคที่เข้าใจได้ง่าย อ่านรู้เรื่อง หรือจะใช้หัวข้อของหน้านั้น ๆ มาใส่เป็น URL ก็ได้เช่นกัน
5. Image
ทุกหน้าควรมีรูปภาพประกอบ เพื่ออธิบายให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น แต่เราไม่ได้ใส่รูปภาพเพื่อให้ผู้อ่านหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ดูอย่างเดียวเท่านั้น เราจะต้องทำให้ Google เข้าใจว่ารูปภาพนั้นคืออะไรด้วย (SEO Image) ดังนั้น เราจึงต้องปรับแต่งรูปภาพที่จะลงบน On-Page SEO ดังนี้
- ตั้งชื่อภาพเป็นประโยคภาษาอังกฤษ โดยใช้ Keyword มาประกอบ ก่อนอัปโหลดลงบนเว็บไซต์
- แปลงไฟล์รูปภาพให้เป็น webp และปรับขนาดให้ไม่เกิน 200 kb จะดีที่สุด เพราะขนาดของไฟล์ภาพอาจทำให้หน้าเว็บหนักและโหลดช้าได้ (ส่งผลกับ PageSpeed)
- ใส่ Alt Text หรือคำอธิบายรูปภาพในแต่ละภาพด้วย เพื่อให้ Google เข้าใจว่าภาพนี้คือภาพอะไร ซึ่งจะมีหลักการใส่การเขียน Alt Text คือการเขียนบรรยายว่าภาพนั้นสื่อถึงอะไรเป็นภาษาไทย และควรมีอย่างน้อย 1 ภาพที่ใส่ Keyword ลงไปใน Alt Text ด้วย (ทุกภาพควรเขียน Alt Text ไม่ซ้ำกัน)
- ปรับขนาดรูปภาพให้เหมาะสมกับหน้าจอของอุปกรณ์ที่ใช้งาน (Responsive Design) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน และทำให้เว็บไซต์ไม่อืดไม่ช้า หรือมีการแสดงผลที่ผิดเพี้ยน
6. External Link & Internal Link
อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดในการปรับแต่ง On-Page SEO นั่นก็คือการใส่ลิงก์ลงไป เพื่อเชื่อมโยงและส่งพลังให้แก่กัน สำหรับลิงก์ที่เราส่งออกจากเว็บไซต์ของเรา ไปยังเว็บไซต์ภายนอกจะถูกเรียกว่า External Link ส่วนลิงก์ที่ส่งไปยังหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์เดียวกัน เรียกว่า Internal Link

เครดิตภาพ robpowellbizblog
7. PageSpeed
PageSpeed คือ ความเร็วของหน้าเว็บในการแสดงเนื้อหาทั้งหมด (รูปภาพ ตัวอักษร วิดีโอ ฯลฯ) ถ้าเว็บไซต์ของเราโหลดเร็ว มีคะแนน PageSpeed ที่ดี จะทำให้ค่า Bounce Rate ลดลง คะแนนเว็บไซต์ดีขึ้น ผู้ชมรู้สึกประทับใจ และจะทำให้คะแนนของเว็บไซต์สูงขึ้นได้ด้วย
บทสรุป
On-page SEO คือสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญและใส่ใจเป็นพิเศษ หากคุณมุ่งมั่นที่จะทำ SEO บนเว็บไซต์ของคุณ การอัปเดต On-Page SEO ด้วยการทำให้เนื้อหาให้สดใหม่อยู่เสมอ ก็เป็นวิธีที่จะช่วยพยุงและดันอันดับของ Keyword ในบทความนั้น ๆ ขึ้นได้ เช่น เพิ่มเนื้อหาเข้าไปอีก, เพิ่มรูปภาพ, แก้ไขปีในเนื้อหาให้เป็นปีปัจจุบัน หรือเปลี่ยนวันที่เผยแพร่บทความให้เป็นปัจจุบัน เป็นต้น
นอกจากการทำ On-page SEO แล้ว ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่คุณต้องศึกษาและทำควบคู่ไปกับ On-page SEO ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Off-Page SEO (การทำ SEO จากภายนอกเว็บไซต์ หรือเพิ่มการกล่าวถึงแบรนด์บนโลกออนไลน์) และ Technique SEO (การปรับแต่ง SEO เชิงเทคนิค ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการปรับปรุงที่หลังบ้านชองเว็บไซต์) เป็นต้น
Yes! รับทำ SEO ติดต่อเราได้ที่นี่
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Facebook : Yes Web Design Studio I Web Design Company Bangkok
Instagram : yeswebdesign_bkk
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)