WooCommerce คืออะไร? เจาะลึกเครื่องมืออีคอมเมิร์ซบน WordPress

บทความโดย Yes Web Design Studio

WooCommerce คืออะไร? เจาะลึกเครื่องมืออีคอมเมิร์ซบน WordPress
Table of Contents

โลกการค้าออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว และผู้ประกอบการจำนวนมากกำลังมองหาวิธีที่จะสร้างร้านค้าออนไลน์ของตัวเองโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล WooCommerce เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์ม WordPress เนื่องจากความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับแต่งที่หลากหลาย

 

อ่านบทความเพิ่มเติม: WordPress ข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง? ในปี 2025 ยังน่าสนใจอยู่ไหม

 

 

WooCommerce คืออะไร?

 

WooCommerce คืออะไร?

 

WooCommerce คือปลั๊กอินอีคอมเมิร์ซสำหรับ WordPress ที่ช่วยแปลงเว็บไซต์ธรรมดาให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์เต็มรูปแบบ เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 โดยบริษัท WooThemes ก่อนที่จะถูกซื้อโดย Automattic บริษัทแม่ของ WordPress.com ในปี 2015

 

 

แนะนำปลั๊กอิน WooCommerce

WooCommerce ไม่ใช่แค่ปลั๊กอินธรรมดา แต่เป็นระบบอีคอมเมิร์ซที่ครบวงจร เมื่อติดตั้งแล้ว คุณจะได้รับเครื่องมือทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการบริหารร้านค้าออนไลน์ ตั้งแต่การจัดการสินค้า ระบบชำระเงิน ไปจนถึงรายงานยอดขาย และเมื่อใช้งานร่วมกับ WordPress คุณก็จะสามารถควบคุมร้านค้าได้อย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดมากนัก

 

 

ทำไม WooCommerce จึงได้รับความนิยม

ปัจจุบัน WooCommerce ครองส่วนแบ่งตลาดราว 28% ของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซทั่วโลก ความนิยมนี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ

  1. ฐานผู้ใช้ WordPress ที่กว้างขวาง – เนื่องจาก WordPress เป็นระบบจัดการเนื้อหาที่ใช้กันแพร่หลายที่สุด การเพิ่ม WooCommerce จึงเป็นขั้นตอนที่ง่ายสำหรับเจ้าของเว็บไซต์
  2. ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ – ตัวปลั๊กอินหลักฟรี คุณจ่ายเฉพาะเมื่อต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติม
  3. ความยืดหยุ่น – สามารถปรับแต่งได้ทุกส่วนตามความต้องการธุรกิจ
  4. ระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง – มีธีมและปลั๊กอินสนับสนุนจำนวนมากให้เลือกใช้

แหล่งที่มาข้อมูล : tychesoftwares.com

 

 

WooCommerce ดียังไง ทำอะไรได้บ้าง?

 

WooCommerce ดียังไง ทำอะไรได้บ้าง?

 

การจัดการสินค้า – เพิ่ม แก้ไข และจัดหมวดหมู่สินค้าได้อย่างง่ายดาย กำหนดราคา รูปภาพ รายละเอียดสินค้า และตัวเลือกต่าง ๆ

 

ระบบตะกร้าสินค้าและการชำระเงิน – รองรับช่องทางการชำระเงินหลากหลาย เช่น PayPal, Stripe หรือ พร้อมเพย์ และอื่น ๆ

 

การจัดการการจัดส่ง – กำหนดวิธีการจัดส่ง ค่าจัดส่ง และพื้นที่การจัดส่ง

 

การจัดการคำสั่งซื้อ – ติดตามสถานะคำสั่งซื้อ ประมวลผล และออกใบแจ้งหนี้

 

การจัดการลูกค้า – จัดเก็บข้อมูลลูกค้าและประวัติการสั่งซื้อ

 

ระบบคูปองและส่วนลด – สร้างและจัดการคูปองส่วนลดและโปรโมชั่นต่าง ๆ

 

รายงานและการวิเคราะห์ – ดูรายงานยอดขาย คำสั่งซื้อ และข้อมูลลูกค้า

 

SEO-Friendly – ออกแบบมาให้เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหา ช่วยให้ร้านค้าของคุณค้นหาได้ง่ายขึ้น

 

 

ฟีเจอร์หลักของ WooCommerce ที่ควรรู้

 

ระบบจัดการสินค้า

ระบบจัดการสินค้าของ WooCommerce ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายแม้สำหรับผู้เริ่มต้น คุณสามารถเพิ่มสินค้าได้ทั้งแบบจับต้องได้ (physical) และดิจิทัล (digital) พร้อมรายละเอียดดังนี้

  • รูปภาพสินค้าคุณภาพสูง
  • คำอธิบายสินค้าแบบสั้นและแบบยาว
  • การจัดหมวดหมู่และแท็ก
  • สินค้าที่มีตัวเลือก (variations) เช่น สี และขนาด
  • การจัดการสต็อกสินค้าแบบอัตโนมัติ

 

ยิ่งไปกว่านั้น WooCommerce ยังรองรับสินค้าแบบกลุ่ม (grouped products) สินค้าแบบสมาชิก (subscription) และสินค้าแบบกำหนดเองได้ตามต้องการ

 

ระบบตะกร้าสินค้าและชำระเงิน

WooCommerce มาพร้อมกับระบบตะกร้าสินค้าที่ใช้งานง่ายและรองรับวิธีการชำระเงินหลายรูปแบบ ได้แก่ บัตรเครดิต/เดบิต PayPal โอนเงินผ่านธนาคาร และชำระเงินปลายทาง

 

สำหรับตลาดไทย คุณสามารถเพิ่มระบบชำระเงินท้องถิ่นได้ผ่านปลั๊กอินเสริม เช่น เคาน์เตอร์เซอร์วิส PromptPay TrueMoney Wallet หรือเก็บเงินปลายทาง ซึ่งทุกธุรกรรมถูกบันทึกไว้ในระบบเพื่อให้คุณติดตามและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

การจัดส่งและภาษี

WooCommerce ช่วยให้คุณตั้งค่าตัวเลือกการจัดส่งได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอัตราคงที่ จัดส่งฟรี อัตราตามพื้นที่ อัตราตามน้ำหนักสินค้า นอกจากนี้ระบบภาษียังรองรับการตั้งค่าที่ซับซ้อน เช่น อัตราภาษีที่แตกต่างกันตามพื้นที่ การคำนวณภาษีอัตโนมัติ และการออกใบกำกับภาษี

 

การติดตั้งปลั๊กอินเสริมเพื่อเพิ่มฟีเจอร์

จุดแข็งของ WooCommerce คือระบบปลั๊กอินเสริมที่ช่วยขยายความสามารถของร้านค้า ตัวอย่างปลั๊กอินยอดนิยม ได้แก่

 

WooCommerce Subscriptions – สำหรับสินค้าแบบสมาชิก

 

YITH WooCommerce Wishlist – สำหรับรายการสินค้าโปรด

 

WooCommerce Bookings – สำหรับระบบจองสินค้าหรือบริการ

 

WooCommerce Product Add-ons – สำหรับเพิ่มตัวเลือกสินค้า

 

Mailchimp for WooCommerce – สำหรับการตลาดทางอีเมล

 

 

ข้อดีของการใช้ WooCommerce

 

ใช้งานฟรีและโอเพ่นซอร์ส

WooCommerce เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งได้ฟรี คุณสามารถเริ่มต้นร้านค้าออนไลน์โดยมีค่าใช้จ่ายเพียงค่าโฮสติ้งและโดเมนเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่นที่มักคิดค่าบริการรายเดือน

 

การที่เป็นโอเพ่นซอร์สยังหมายถึงชุมชนนักพัฒนาทั่วโลกช่วยกันพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระบบมีความปลอดภัยและทันสมัยอยู่เสมอ

 

ปรับแต่งได้ตามต้องการ

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีความต้องการเฉพาะ WooCommerce เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะสามารถปรับแต่งได้แทบทุกส่วน ทั้งหน้าตาของหน้าร้านค้า โดยใช้ธีม WordPress หรือปรับเปลี่ยนฟีเจอร์การทำงานด้วยปลั๊กอินเสริม ไปจนถึงโค้ดและฟังก์ชั่นเพิ่มเติมสำหรับความต้องการเฉพาะ ซึ่งการควบคุมเต็มรูปแบบนี้ช่วยให้ร้านค้าของคุณมีเอกลักษณ์และตอบโจทย์ธุรกิจได้อย่างแท้จริง

 

รองรับภาษาไทยและระบบชำระเงินในไทย

สำหรับผู้ประกอบการไทย WooCommerce มีการรองรับภาษาไทยอย่างสมบูรณ์ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนภาษาทั้งส่วนหน้าร้านและหลังบ้านเป็นภาษาไทยได้

 

นอกจากนี้ยังมีปลั๊กอินสำหรับช่องทางการชำระเงินในประเทศไทยโดยเฉพาะ เช่น PromptPay QR Code เคาน์เตอร์เซอร์วิส บัตรเครดิตผ่านระบบชำระเงินท้องถิ่น และธนาคารออนไลน์ของไทย

 

มีคอมมูนิตี้และปลั๊กอินสนับสนุนมากมาย

ชุมชน WooCommerce ในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการแลกเปลี่ยนความรู้ผ่านกลุ่มเฟซบุ๊ก บล็อก และงานสัมมนาต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถแก้ปัญหาและพัฒนาร้านค้าได้อย่างต่อเนื่อง

 

ปลั๊กอินที่พัฒนาโดยคนไทยเพื่อตลาดไทยโดยเฉพาะยังมีให้เลือกใช้มากมาย ทั้งระบบขนส่ง ระบบชำระเงิน และการบูรณาการกับแพลตฟอร์มท้องถิ่น

 

 

ข้อเสียของการใช้ WooCommerce

แม้ WooCommerce จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณา

  1. ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคระดับหนึ่ง – การตั้งค่าและปรับแต่งอาจซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้นโดยสมบูรณ์
  2. ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม – แม้ตัวปลั๊กอินหลักจะฟรี แต่อาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับโฮสติ้ง โดเมน ธีมพรีเมียม และปลั๊กอินเสริม
  3. การดูแลรักษาเป็นความรับผิดชอบของคุณ – ต้องคอยอัปเดตปลั๊กอิน ธีม และ WordPress เองเพื่อความปลอดภัย
  4. ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับคุณภาพโฮสติ้ง – ร้านค้าที่มีสินค้าจำนวนมากอาจต้องการโฮสติ้งคุณภาพสูง
  5. อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างปลั๊กอิน – การใช้ปลั๊กอินหลายตัวอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องความเข้ากันได้

 

 

WooCommerce เหมาะกับใคร?

 

WooCommerce เหมาะกับใคร?

 

ผู้เริ่มต้นขายของออนไลน์

หากคุณเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจและต้องการทดลองตลาด WooCommerce เป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากต้นทุนเริ่มต้นต่ำ เรียนรู้ได้จากแหล่งข้อมูลมากมายทั้งภาษาไทยและอังกฤษ และสามารถเริ่มเล็ก ๆ และขยายธุรกิจได้ในอนาคต

 

ธุรกิจ SME ที่มีเว็บไซต์ WordPress

สำหรับธุรกิจที่มีเว็บไซต์ WordPress อยู่แล้ว การเพิ่ม WooCommerce เป็นการต่อยอดที่เหมาะสมที่สุด คุณสามารถเพิ่มช่องทางการขายโดยไม่ต้องสร้างเว็บไซต์ใหม่ โดยใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าและเนื้อหาเดิม และบริหารจัดการทั้งเว็บไซต์และร้านค้าจากแดชบอร์ดเดียว ซึ่งโครงสร้างเว็บไซต์ที่มีทั้งบล็อกและร้านค้ายังช่วยในเรื่องการทำ SEO และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

 

นักพัฒนาเว็บและเอเจนซี่

สำหรับนักพัฒนาเว็บและเอเจนซี่ WooCommerce เป็นเครื่องมือที่มีค่า เนื่องจากรองรับการพัฒนาโซลูชั่นเฉพาะทาง ผู้ประกอบการสามารถสร้างธีมและปลั๊กอินเพื่อขายต่อได้ เป็นแพลตฟอร์มที่มี API ที่ครบถ้วนสำหรับการบูรณาการกับระบบอื่น โดยใช้ฐานลูกค้าทั่วโลกที่ใช้ WordPress

 

 

ความแตกต่างระหว่าง WooCommerce กับแพลตฟอร์มอื่น

ในโลกของอีคอมเมิร์ซที่มีตัวเลือกมากมาย การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเป็นการตัดสินใจสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์คุณ WooCommerce ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในตลาด แต่เราควรเข้าใจว่ามันแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร

 

WooCommerce vs Shopify

 

WooCommerce

เป็นปลั๊กอินที่ใช้งานร่วมกับ WordPress ซึ่งต้องติดตั้งเองบนเว็บโฮสติ้งของคุณ ทำให้คุณมีอิสระเต็มที่ในการปรับแต่งหน้าร้าน ตั้งแต่หน้าตาเว็บไซต์ไปจนถึงระบบหลังบ้าน คุณเป็นเจ้าของข้อมูลทั้งหมด แต่ก็ต้องดูแลเรื่องเทคนิค เช่น การอัปเดตระบบและการรักษาความปลอดภัยเองด้วย

 

Shopify

เป็นระบบสำเร็จรูปที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ให้หมดแล้ว ทั้งโฮสติ้ง ความปลอดภัย และระบบหลังบ้าน เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเปิดร้านอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องยุ่งกับเทคนิค แต่จะมีค่าใช้จ่ายรายเดือน และข้อจำกัดเรื่องการปรับแต่งเว็บไซต์

 

โดยสรุป ถ้าคุณต้องการความยืดหยุ่นสูง ควบคุมเองได้ทุกอย่าง และวางแผนสร้างธุรกิจระยะยาว WooCommerce คือตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าคุณต้องการเปิดร้านเร็ว ใช้งานง่าย ไม่สนใจเทคนิคเบื้องหลังมากนัก Shopify ก็เป็นตัวเลือกที่ดี

 

อ่านบทความเพิ่มเติม : Shopify คืออะไร? แพลตฟอร์มสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ใคร ๆ ก็ใช้ได้

 

WooCommerce vs. Magento

 

Magento

เป็นระบบอีคอมเมิร์ซแบบโอเพ่นซอร์สเหมือน WooCommerce แต่ถูกออกแบบมาสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความต้องการเฉพาะทางสูง

 

WooCommerce

เหมาะกับร้านค้าขนาดเล็กถึงกลางที่ต้องการเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว และใช้งานง่ายโดยไม่ต้องมีทีมเทคนิคขนาดใหญ่ ข้อดีคือทำงานร่วมกับ WordPress ได้ดี ช่วยให้จัดการเนื้อหาและทำการตลาดได้สะดวก ในขณะที่ Magento นั้นเหมาะกับบริษัทที่มีสินค้าหลายพันรายการ และต้องการระบบที่มีความซับซ้อนสูง ฟีเจอร์ครบครัน แต่ก็ต้องใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์สูง และต้องมีทีมพัฒนาที่เชี่ยวชาญดูแลตลอดเวลา

 

ในประเทศไทย WooCommerce ได้รับความนิยมมากกว่า เพราะมีนักพัฒนาและชุมชนผู้ใช้จำนวนมาก ช่วยให้การใช้งานและพัฒนาระบบเพิ่มเติมเป็นเรื่องง่าย และยังมีปลั๊กอินที่รองรับภาษาไทยและระบบชำระเงินในประเทศให้เลือกใช้จำนวนมาก

 

 

เลือกใช้แพลตฟอร์มไหนดี?

ไม่มีแพลตฟอร์มไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่การเลือกใช้ก็ควรเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ

เริ่มต้นเล็ก อยากควบคุมทุกอย่าง → WooCommerce

 

อยากเปิดร้านไว ไม่ยุ่งกับเทคนิค → Shopify

 

ธุรกิจขนาดใหญ่ ต้องการระบบที่ซับซ้อน → Magento

 

 

วิธีติดตั้งและขั้นตอนเริ่มต้นใช้งาน WooCommerce เบื้องต้น

การติดตั้ง WooCommerce ทำได้ไม่ยาก โดยมีขั้นตอนดังนี้

 

ติดตั้ง WordPress – เริ่มจากการมีเว็บไซต์ WordPress ก่อน หากยังไม่มี ให้เช่าโฮสติ้งและติดตั้ง WordPress

 

ติดตั้งปลั๊กอิน WooCommerce – ไปที่ “ปลั๊กอิน” > “เพิ่มใหม่” ในแดชบอร์ด WordPress แล้วค้นหา “WooCommerce” จากนั้นคลิก “ติดตั้งทันที” และ “เปิดใช้งาน”

 

ตั้งค่าร้านค้า – หลังจากเปิดใช้งาน WooCommerce จะนำคุณไปยังตัวช่วยตั้งค่า ซึ่งจะถามข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับร้านค้า เช่น ที่อยู่ร้านค้า สกุลเงินที่ใช้ วิธีการชำระเงิน วิธีการจัดส่ง การตั้งค่าภาษี

 

เลือกธีม – เลือกธีมที่เหมาะสมกับร้านค้า WooCommerce มีธีมฟรีชื่อ Storefront ที่ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับ WooCommerce ได้ดี

 

เพิ่มสินค้า – ไปที่ “สินค้า” > “เพิ่มใหม่” ในแดชบอร์ด เพื่อเริ่มเพิ่มสินค้าพร้อมรายละเอียด รูปภาพ และราคา

 

ตั้งค่าการชำระเงิน – ตรวจสอบว่าวิธีการชำระเงินที่คุณต้องการใช้ทำงานได้อย่างถูกต้อง

 

ตั้งค่าการจัดส่ง – กำหนดโซนและอัตราค่าจัดส่งให้เหมาะสมกับธุรกิจ

 

ทดสอบการสั่งซื้อ – ลองทำการสั่งซื้อทดสอบเพื่อตรวจสอบว่าทุกขั้นตอนทำงานได้อย่างถูกต้อง

 

 

เปิดร้าน – เมื่อทุกอย่างพร้อม คุณสามารถเปิดร้านค้าให้ลูกค้าเข้ามาช้อปปิ้งได้แล้ว

 

 

 

สรุป

WooCommerce เป็นโซลูชั่นอีคอมเมิร์ซที่ทรงพลังและยืดหยุ่นสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการสร้างร้านค้าออนไลน์บน WordPress ด้วยคุณสมบัติฟรี โอเพ่นซอร์ส และความสามารถในการปรับแต่งอย่างไม่จำกัด ทำให้เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับธุรกิจทุกขนาด

 

สำหรับตลาดไทย WooCommerce มีข้อได้เปรียบเพิ่มเติมในเรื่องการรองรับภาษาไทยและระบบชำระเงินในประเทศ ทำให้เจ้าของร้านสามารถสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่คุ้นเคยสำหรับลูกค้าไทย

 

เริ่มต้นใช้งาน WooCommerce วันนี้ และค้นพบว่าทำไมมันถึงเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมสำหรับผู้ประกอบการทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือเจ้าของธุรกิจที่มีประสบการณ์ WooCommerce มีเครื่องมือและความยืดหยุ่นที่จะช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จ

 

หากคุณกำลังมองหาทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้านการทำเว็บไซต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าของคุณ Yes Web Design Studio พร้อมช่วยคุณ เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทยที่ให้บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress และรับทําเว็บไซต์ e-commerce ครบวงจร รวมไปถึงบริการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์ด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

มีโปรเจกต์ในใจแล้วใช่ไหม ?