Web Application คืออะไร? แตกต่างจากเว็บไซต์แบบปกติอย่างไร

บทความโดย Yes Web Design Studio

Web Application คืออะไร? แตกต่างจากเว็บไซต์แบบปกติอย่างไร
Table of Contents

โลกดิจิทัลกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และคำว่า “Web Application” หรือ “เว็บแอปพลิเคชัน” เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยขึ้นทุกวัน แต่หลายคนยังสับสนว่ามันแตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไปอย่างไร วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Web Application ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

 

Web Application คืออะไร

 

Web Application คืออะไร

 

Web Application คือโปรแกรมที่ทำงานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบและทำงานกับระบบได้เหมือนกับโปรแกรมที่ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ แต่ข้อดีคือไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติม เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตและเบราว์เซอร์ก็สามารถใช้งานได้ทันที

 

จุดประสงค์หลักของ Web Application คือการสร้างระบบที่ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยใช้อุปกรณ์ใดก็ได้ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต นอกจากนี้ยังมีประโยชน์มากมาย เช่น

 

  • การเข้าถึงข้อมูลจากทุกที่ทุกเวลา
  • ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม
  • รองรับการทำงานร่วมกันของหลายผู้ใช้
  • ข้อมูลถูกเก็บไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ ปลอดภัยกว่าการเก็บในเครื่อง
  • อัพเดทระบบได้ง่าย ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้งอัพเดทเอง

ตัวอย่าง Web Application ที่เราใช้กันเป็นประจำ เช่น Gmail ที่เราใช้ส่งอีเมล Facebook ที่เราใช้ติดต่อสื่อสาร หรือ Google Docs ที่เราใช้ทำงานเอกสารร่วมกัน ทั้งหมดนี้คือ Web Application ที่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์ โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม

 

 

ประเภทของ Web Application มีอะไรบ้าง?

 

เมื่อพูดถึง Web Application หลายคนอาจนึกถึงเพียงแค่เว็บไซต์ที่มีฟังก์ชันการทำงานซับซ้อน แต่ความจริงแล้ว Web Application มีหลากหลายประเภทที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน มาทำความรู้จักกับประเภทต่าง ๆ ของ Web Application ที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตดิจิทัลของเรา

 

1. Static Web Application

 

Static Web Application เป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดของ Web Application โดยแสดงเนื้อหาเดิมทุกครั้งที่มีการเรียกดู เว็บประเภทนี้มักประกอบด้วยไฟล์ HTML, CSS และ JavaScript ที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย

 

ตัวอย่าง: เว็บไซต์แนะนำบริษัท เว็บโปรไฟล์ส่วนตัว หรือเว็บแสดงข้อมูลสินค้าแบบไม่ซับซ้อน

 

จุดเด่น: โหลดเร็ว ค่าใช้จ่ายในการดูแลต่ำ และมีความปลอดภัยสูงเพราะไม่มีฐานข้อมูลให้โจมตี

 

2. Dynamic Web Application

 

Dynamic Web Application สามารถแสดงเนื้อหาที่แตกต่างกันตามผู้ใช้งาน เวลา หรือข้อมูลอื่น ๆ โดยใช้ภาษาฝั่งเซิร์ฟเวอร์เช่น PHP, Python หรือ Node.js เพื่อสร้างเนื้อหาแบบเรียลไทม์

 

ตัวอย่าง: เว็บข่าว บล็อก เว็บบอร์ด หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่แสดงสินค้าจากฐานข้อมูล

 

จุดเด่น: เนื้อหามีความสดใหม่ สามารถปรับเปลี่ยนได้อัตโนมัติตามสถานการณ์ และรองรับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งาน

 

3. Single-Page Application (SPA)

 

Single-Page Application เป็น Web Application ที่โหลดหน้าเว็บเพียงครั้งเดียว และอัพเดทเนื้อหาโดยใช้ JavaScript เพื่อเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บโดยไม่ต้องโหลดหน้าใหม่ทั้งหมด ทำให้ประสบการณ์การใช้งานคล้ายกับแอปพลิเคชันบนเครื่อง

 

ตัวอย่าง: Gmail, Google Maps, Facebook, Twitter

 

จุดเด่น: ความเร็วในการใช้งานหลังจากโหลดครั้งแรก ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ราบรื่น และลดการใช้แบนด์วิดท์เนื่องจากไม่ต้องโหลดหน้าใหม่ตลอดเวลา

4. Progressive Web Application (PWA)

 

Progressive Web Application เป็นการผสมผสานระหว่าง Web Application และ Mobile Application โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของเว็บ เช่น Service Workers และ Web App Manifest เพื่อให้สามารถทำงานได้แม้ในสภาวะออฟไลน์ และติดตั้งลงบนหน้าจอหลักของอุปกรณ์

 

ตัวอย่าง: Twitter Lite, Starbucks PWA, Pinterest, Alibaba

 

จุดเด่น: ทำงานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต สามารถติดตั้งลงบนอุปกรณ์ได้ และมีฟีเจอร์คล้ายแอปพลิเคชันมือถือ เช่น การแจ้งเตือนแบบพุช

5. E-commerce Web Application

 

E-commerce Web Application เป็นเว็บที่ออกแบบมาเพื่อการซื้อขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ มีระบบตะกร้าสินค้า การชำระเงิน และการจัดการสินค้าคงคลัง

 

ตัวอย่าง: Amazon, Shopify, WooCommerce, Lazada, Shopee

 

จุดเด่น: รองรับการทำธุรกรรมการเงินที่ปลอดภัย มีระบบจัดการสินค้า และสามารถเชื่อมต่อกับระบบขนส่งและการชำระเงินภายนอก

6. Portal Web Application

 

Portal Web Application รวบรวมข้อมูลและบริการจากหลายแหล่งมาไว้ในที่เดียว มักเป็นจุดเข้าถึงหลักสำหรับระบบที่ซับซ้อน

 

ตัวอย่าง: ระบบอินทราเน็ตขององค์กร เว็บท่า Yahoo!, MSN หรือระบบการศึกษาออนไลน์ของมหาวิทยาลัย

 

จุดเด่น: รวมศูนย์ข้อมูลและบริการ มีระบบจัดการสิทธิ์ผู้ใช้ และปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละผู้ใช้

7. Content Management System (CMS)

 

Content Management System เป็น Web Application ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง แก้ไข และจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด

 

ตัวอย่าง: WordPress, Drupal, Joomla, Magento

 

จุดเด่น: ใช้งานง่ายสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิค มีปลั๊กอินและธีมให้เลือกมากมาย และรองรับการทำงานร่วมกันเป็นทีม

8. Software as a Service (SaaS)

 

SaaS เป็น Web Application ที่ให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านอินเทอร์เน็ตแบบสมัครสมาชิก แทนที่จะซื้อและติดตั้งซอฟต์แวร์ด้วยตนเอง

 

ตัวอย่าง: Google Workspace, Microsoft 365, Salesforce, Slack, Zoom

 

จุดเด่น: ไม่ต้องติดตั้งหรือบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ อัพเกรดอัตโนมัติ และสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่

9. Enterprise Web Application

 

Enterprise Web Application เป็นระบบขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กร โดยมักรวมถึงระบบจัดการทรัพยากรและกระบวนการทางธุรกิจ

 

ตัวอย่าง: ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning), ระบบ CRM (Customer Relationship Management), ระบบจัดการห่วงโซ่อุปทาน

 

จุดเด่น: รองรับการทำงานที่ซับซ้อน มีความปลอดภัยสูง และสามารถปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะขององค์กร

10. Microservice Web Application

 

Microservice Web Application แบ่งระบบออกเป็นส่วนย่อย ๆ ที่ทำงานอย่างอิสระต่อกัน แต่สื่อสารกันผ่าน API ทำให้ง่ายต่อการพัฒนาและปรับขยาย

 

ตัวอย่าง: Netflix, Amazon, Uber

 

จุดเด่น: ขยายระบบได้ง่าย พัฒนาแต่ละส่วนได้อย่างอิสระ และมีความทนทานต่อความล้มเหลวสูงเพราะแต่ละส่วนทำงานแยกกัน

11. Web API (Application Programming Interface)

 

Web API เป็น Web Application ที่ออกแบบมาเพื่อให้โปรแกรมอื่น ๆ เชื่อมต่อและใช้บริการได้ มักไม่มีส่วนติดต่อกับผู้ใช้งานโดยตรง

 

ตัวอย่าง: Google Maps API, Twitter API, Payment Gateway API

 

จุดเด่น: เชื่อมต่อระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ให้บริการข้อมูลหรือฟังก์ชันแก่แอปพลิเคชันอื่น และช่วยสร้างระบบนิเวศของแอปพลิเคชัน

12. Collaborative Web Application

 

Collaborative Web Application ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้หลายคนสามารถทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ผ่านอินเทอร์เน็ต

 

ตัวอย่าง: Google Docs, Trello, Asana, Microsoft Teams, Figma

 

จุดเด่น: รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ มีระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง และช่วยให้ทีมงานทำงานร่วมกันได้แม้อยู่คนละที่

 

ส่วนประกอบหลักของ Web Application

 

โปรแกรมเหล่านี้มีส่วนประกอบหลักสามส่วนที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ดังนี้

 

ส่วน Front-end

 

ส่วน Front-end คือส่วนที่ผู้ใช้งานมองเห็นและโต้ตอบโดยตรง เปรียบเสมือนหน้าร้านของระบบ โดยทั่วไปจะพัฒนาด้วยภาษา HTML, CSS และ JavaScript รวมถึงเฟรมเวิร์คยอดนิยมอย่าง React, Angular หรือ Vue.js ส่วนนี้มีหน้าที่สำคัญในการสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี (User Experience) ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่าย สวยงาม และตอบสนองรวดเร็ว

ส่วน Back-end

 

เป็นส่วนที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เป็นเสมือนห้องครัวของร้านอาหาร ที่ลูกค้าไม่เห็น แต่เป็นที่ที่ความต้องการของลูกค้าถูกประมวลผล

 

ส่วนนี้จะทำหน้าที่รับข้อมูลจาก Front-end มาประมวลผล เช่น การคำนวณ การตรวจสอบความถูกต้อง และการจัดการกับฐานข้อมูล ภาษาที่นิยมใช้พัฒนา Back-end ได้แก่ PHP, Python, Java, Node.js และ Ruby

 

ระบบฐานข้อมูล (Database)

 

ระบบฐานข้อมูลเป็นส่วนที่จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดของระบบ เช่น ข้อมูลผู้ใช้ ข้อมูลสินค้า หรือข้อมูลธุรกรรมต่าง ๆ

 

ระบบฐานข้อมูลที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ MySQL, PostgreSQL, MongoDB และ Firebase ซึ่งแต่ละระบบก็มีจุดเด่นและความเหมาะสมกับงานที่แตกต่างกันไป

 

หลักการทำงานของ Web Application

 

Web Application ทำงานบนหลักการ Client-Server ที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องของผู้ใช้ (Client) กับเซิร์ฟเวอร์ (Server) ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

 

การทำงานผ่านเซิร์ฟเวอร์และเบราว์เซอร์

 

เมื่อผู้ใช้เข้าสู่ Web Application ผ่านเบราว์เซอร์ เบราว์เซอร์จะส่งคำขอ (Request) ไปยังเซิร์ฟเวอร์ เซิร์ฟเวอร์จะประมวลผลคำขอนั้น และส่งผลลัพธ์ (Response) กลับมาให้เบราว์เซอร์แสดงผล

 

การส่งข้อมูลแบบ Client-Server

 

ข้อมูลที่ส่งระหว่าง Client และ Server จะอยู่ในรูปแบบมาตรฐานเช่น JSON หรือ XML ซึ่งทั้งสองฝั่งสามารถเข้าใจได้ การสื่อสารนี้จะใช้โปรโตคอล HTTP หรือ HTTPS เป็นหลัก

ในการทำงานแบบทันสมัย มักจะใช้เทคโนโลยี AJAX (Asynchronous JavaScript and XML) หรือ RESTful API เพื่อให้การส่งข้อมูลระหว่าง Client และ Server มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

การโต้ตอบแบบเรียลไทม์กับผู้ใช้งาน

 

จุดเด่นของ Web Application คือความสามารถในการโต้ตอบกับผู้ใช้แบบเรียลไทม์ เช่น เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม ระบบสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ผู้ใช้กดส่งทั้งหมด

 

เทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการโต้ตอบแบบเรียลไทม์ได้ดี เช่น WebSocket ที่ทำให้ Server สามารถส่งข้อมูลมาที่ Client ได้โดยตรง โดยไม่ต้องรอให้ Client ร้องขอ

 

ความแตกต่างระหว่าง Web Application กับเว็บไซต์แบบปกติ 

 

ความแตกต่างระหว่าง Web Application กับเว็บไซต์แบบปกติ

รูปภาพจาก : ScienceSoft

 

เว็บไซต์แบบปกติและ Web Application มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่การใช้งานและการพัฒนา

 

เปรียบเทียบในแง่ของฟังก์ชัน

 

เว็บไซต์แบบปกติ (Static Website) มักจะเน้นการนำเสนอข้อมูลเพียงอย่างเดียว เช่น เว็บข่าว เว็บแนะนำบริษัท หรือเว็บแสดงข้อมูลสินค้า ผู้ใช้สามารถอ่านข้อมูลได้ แต่มีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์น้อย

 

ส่วน Web Application มีฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อนกว่า ผู้ใช้สามารถทำงานผ่านเว็บได้ เช่น สร้างเอกสาร จัดการข้อมูลส่วนตัว ทำธุรกรรมการเงิน หรือแม้แต่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น

 

ความสามารถในการโต้ตอบกับผู้ใช้งาน

 

เว็บไซต์แบบปกติมีการโต้ตอบกับผู้ใช้อย่างจำกัด เช่น การคลิกลิงก์เพื่อไปยังหน้าอื่น หรือกรอกแบบฟอร์มติดต่อ

 

Web Application สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ลึกซึ้งกว่า เช่น การแก้ไขข้อมูลแบบเรียลไทม์ การลากและวางรูปภาพ หรือการแชทกับผู้ใช้คนอื่น

 

ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนและขยายระบบ

 

เว็บไซต์แบบปกติมักแก้ไขยากกว่า เพราะข้อมูลถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า (Hard-coded) หากต้องการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา อาจต้องแก้ไขโค้ด HTML โดยตรง

 

Web Application มีความยืดหยุ่นสูงกว่า เพราะแยกข้อมูลออกจากการแสดงผล ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาได้ง่ายผ่านระบบจัดการเนื้อหา (CMS) และยังสามารถขยายฟังก์ชันใหม่ ๆ ได้โดยไม่กระทบกับระบบเดิม

 

 

ความแตกต่างระหว่าง Web Application กับ Mobile Application

 

ความแตกต่างระหว่าง Web Application กับ Mobile Application

รูปภาพจาก : SpringBoard

 

แม้ว่า Web Application และ Mobile Application จะมีความสามารถคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างในบางส่วน

 

การติดตั้ง: Mobile Application ต้องดาวน์โหลดและติดตั้งผ่าน App Store หรือ Play Store ส่วน Web Application ใช้งานผ่านเบราว์เซอร์โดยไม่ต้องติดตั้ง

 

การเข้าถึงฮาร์ดแวร์: Mobile Application สามารถเข้าถึงฮาร์ดแวร์ของอุปกรณ์ได้มากกว่า เช่น กล้อง เซ็นเซอร์ต่าง ๆ แม้ว่า Web Application จะเริ่มเข้าถึงได้มากขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย

 

การเชื่อมต่อ: Mobile Application บางประเภทสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ขณะที่ Web Application ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเสมอ (ยกเว้น Progressive Web Apps ที่สามารถทำงานออฟไลน์ได้บางส่วน)

 

ประสบการณ์ผู้ใช้: Mobile Application มักมีประสบการณ์ผู้ใช้ที่เฉพาะเจาะจงกับแพลตฟอร์มนั้น ๆ ขณะที่ Web Application ต้องปรับตัวให้ทำงานได้บนทุกเบราว์เซอร์และอุปกรณ์

 

 

 

ข้อดีและข้อเสียของ Web Application

 

เหมือนเทคโนโลยีทุกอย่าง Web Application มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา

 

ข้อดี

 

ไม่ต้องติดตั้ง – ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนการติดตั้งที่ยุ่งยาก เพียงเข้าเว็บไซต์ก็ใช้งานได้ทันที

 

ใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม – สามารถใช้งานได้ทั้งบน Windows, Mac, Linux, iOS, Android เพียงแค่มีเบราว์เซอร์

 

อัพเดทง่าย – ผู้พัฒนาสามารถอัพเดทระบบได้ทันที โดยผู้ใช้ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม

 

ประหยัดพื้นที่ – ไม่กินพื้นที่บนอุปกรณ์ของผู้ใช้ เพราะทุกอย่างทำงานบนเซิร์ฟเวอร์

 

ประหยัดค่าพัฒนา – พัฒนาครั้งเดียวใช้ได้ทุกแพลตฟอร์ม ไม่ต้องพัฒนาแยกสำหรับ iOS และ Android

 

ข้อเสีย

 

ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต – หากไม่มีอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่จะไม่สามารถใช้งานได้ (ยกเว้น Progressive Web Apps บางส่วน)

 

ความเร็ว – โดยทั่วไปมักทำงานช้ากว่าแอปพลิเคชันที่ติดตั้งบนเครื่อง เพราะต้องโหลดข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์

 

ข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ – เข้าถึงฮาร์ดแวร์ของอุปกรณ์ได้จำกัด เช่น กล้อง GPS หรือการแจ้งเตือน

 

ความปลอดภัย – มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากไม่พัฒนาอย่างรัดกุม เพราะเข้าถึงได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต

 

 

Web Application เหมาะกับใครบ้าง

 

Web Application เหมาะกับใครบ้าง

 

Web Application เหมาะกับองค์กรและธุรกิจหลายประเภท

 

  1. ธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง: ที่ต้องการระบบจัดการภายในแต่มีงบประมาณจำกัด เพราะไม่ต้องลงทุนในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ราคาแพง
  2. ธุรกิจที่มีทีมงานกระจายตัว: เพราะสามารถเข้าถึงระบบได้จากทุกที่ ทำให้ทำงานร่วมกันได้สะดวก
  3. ธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง: สามารถปรับเปลี่ยนและขยายระบบได้ง่ายตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง
  4. ธุรกิจบริการออนไลน์: เช่น ธนาคาร ประกันภัย หรือการศึกษาออนไลน์ ที่ต้องการให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้ทุกที่ทุกเวลา
  5. องค์กรที่ต้องการระบบ CRM หรือ ERP: เพื่อจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าหรือทรัพยากรภายในองค์กร

 

สรุป

 

Web Application เป็นโปรแกรมที่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์ มีความสามารถในการโต้ตอบกับผู้ใช้สูง ทำให้สามารถทำงานผ่านเว็บได้เสมือนใช้โปรแกรมที่ติดตั้งบนเครื่อง แต่มีข้อดีที่ไม่ต้องติดตั้ง และใช้งานได้จากทุกที่ทุกเวลา และได้กลายเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจและองค์กรที่ต้องการระบบที่เข้าถึงได้ง่าย ใช้งานได้ทุกที่ และมีค่าบำรุงรักษาต่ำกว่าระบบแบบเดิม

 

การเลือกระหว่าง Web Application เว็บไซต์แบบปกติ หรือ Mobile Application ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของธุรกิจและกลุ่มผู้ใช้งานเป้าหมาย การเข้าใจข้อดีข้อเสียของแต่ละรูปแบบจะช่วยให้คุณเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

หากคุณกำลังมองหาทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้านการทำเว็บไซต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าของคุณ Yes Web Design Studio พร้อมช่วยคุณ เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทยที่ให้บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress และรับทําเว็บไซต์ e-commerce ครบวงจร รวมไปถึงบริการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์ด้วยเช่นกัน

 

Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

 

มีโปรเจกต์ในใจแล้วใช่ไหม ?