ในปัจจุบัน การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นปัจจัยที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จได้ และล่าสุด Google ได้พัฒนาเครื่องมือวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ INP หรือ Interaction to Next Paint ซึ่งเป็นเมทริกใหม่ที่จะมาแทนที่ FID (First Input Delay) ในชุด Core Web Vitals แล้ว INP คืออะไรกันแน่ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเมทริกดังกล่าวให้มากขึ้น
INP คืออะไร? ทำความเข้าใจค่าชี้วัดใหม่ของ Core Web Vitals
รูปภาพจาก : EZ Rankings
INP หรือ Interaction to Next Paint คือค่าชี้วัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ที่วัดความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์เมื่อผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับหน้าเว็บ ไม่ว่าจะเป็น การคลิก การแตะ หรือการกดปุ่ม ซึ่ง INP จะวัดระยะเวลาตั้งแต่ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์จนถึงเวลาที่เบราว์เซอร์แสดงผลการเปลี่ยนแปลงบนหน้าจอ
ความแตกต่างระหว่าง INP และ FID (First Input Delay)
FID (First Input Delay) เป็นเมทริกเดิมที่ Google ใช้วัดความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์ แต่มีข้อจำกัดหลายประการ ดังนี้
- เมทริกนี้จะวัดเฉพาะการตอบสนองในครั้งแรกที่ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับหน้าเว็บเท่านั้น ไม่ได้คำนึงถึงปฏิสัมพันธ์ต่อ ๆ ไป
- วัดความเร็วเพียงระยะเวลาที่เบราว์เซอร์ใช้ในการเริ่มประมวลผลอินพุต แต่ไม่ได้วัดเวลาทั้งหมดที่ใช้ในการประมวลผลจนเสร็จสิ้น
- เครื่องมือนี้ไม่ได้รวมเวลาที่ใช้ในการเรนเดอร์หรือแสดงผลการเปลี่ยนแปลงบนหน้าจอ
ในขณะที่ INP มีความครอบคลุมมากกว่า ดังนี้
- INP วัดทุกปฏิสัมพันธ์ระหว่างที่ผู้ใช้ใช้งานเว็บไซต์ ไม่ใช่แค่ครั้งแรก
- วัดระยะเวลาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มมีปฏิสัมพันธ์จนถึงการแสดงผลบนหน้าจอ รวมถึงเวลาที่ใช้ในการประมวลผลและเรนเดอร์
- สะท้อนประสบการณ์ผู้ใช้ได้ดีกว่าเพราะวัดสิ่งที่ผู้ใช้รับรู้จริง คือความเร็วในการตอบสนองทั้งกระบวนการ
ทำไม Google ถึงเปลี่ยนจาก FID เป็น INP?
รูปภาพจาก : Lumar
สาเหตุที่ Google ตัดสินใจเปลี่ยนจาก FID มาใช้ INP เพราะต้องการวัดประสบการณ์ผู้ใช้ได้แม่นยำยิ่งขึ้นในหลาย ๆ ด้าน
- INP สามารถวัดความเร็วของเว็บแอปพลิเคชันสมัยใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้น
- FID มักแสดงผลที่ดีเกินจริง เพราะไม่ได้วัดเวลาทั้งหมดที่ผู้ใช้ต้องรอ
- INP สะท้อนประสบการณ์ที่แท้จริงของผู้ใช้ได้ดีกว่า เพราะวัดความล่าช้าที่ผู้ใช้รับรู้ได้จริง ไม่ใช่แค่ความล่าช้าทางเทคนิค
Google ประกาศว่า INP จะกลายเป็นค่าชี้วัดหลักใน Core Web Vitals อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2025 ซึ่งหมายความว่าผู้ดูแลเว็บไซต์ควรเริ่มเตรียมตัวและปรับปรุงค่า INP ตั้งแต่ตอนนี้
INP มีผลอย่างไรต่อ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้?
SEO
INP ค่อนข้างมีผลด้าน SEO อย่างมาก เพราะ Google ใช้ Core Web Vitals เป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับเว็บไซต์ และเมื่อ INP กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Core Web Vitals อย่างเป็นทางการ จะทำให้เว็บไซต์ที่มีค่า INP ได้เปรียบในการจัดอันดับ เพราะเว็บไซต์ที่ตอบสนองได้รวดเร็วมีโอกาสติดอันดับต้น ๆ บน Google มากกว่า ดังนั้นเว็บไซต์ที่มีค่า INP ดีเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูง เพราะแสดงถึงการใส่ใจในประสบการณ์ผู้ใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Google ต้องการนำเสนอในผลการค้นหา
ประสบการณ์ผู้ใช้
เว็บไซต์ที่มีค่า INP ดีจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ราบรื่น และเป็นธรรมชาติ ไม่มีความล่าช้าที่รู้สึกได้ ผู้ใช้ไม่ต้องรอนานและสามารถทำสิ่งที่ต้องการได้อย่างราบรื่น ช่วยลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) ทำให้ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์และใช้เวลาบนเว็บไซต์นานขึ้น เพิ่มโอกาสกลับมาเยี่ยมชมซ้ำ ซึ่งเป็นสัญญาณดีต่อ SEO ในระยะยาว
วิธีวัดค่า INP บนเว็บไซต์ของคุณ
การเริ่มต้นปรับปรุง INP จำเป็นต้องวัดค่าปัจจุบันก่อน มีหลายเครื่องมือที่ช่วยวัดค่า INP ได้ ดังนี้
PageSpeed Insights
เครื่องมือฟรีจาก Google ที่วิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์ เพียงป้อน URL ของเว็บไซต์ และระบบจะแสดงค่า INP พร้อมคำแนะนำในการปรับปรุง
Chrome User Experience Report (CrUX)
ฐานข้อมูลที่รวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้ Chrome จริง ช่วยให้คุณเห็นค่า INP จากผู้ใช้จริงทั่วโลก สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ผ่าน BigQuery, PageSpeed Insights หรือ CrUX Dashboard ได้
Chrome DevTools
เครื่องมือสำหรับนักพัฒนาที่มาพร้อมกับเบราว์เซอร์ Chrome ช่วยวัดและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์แบบเรียลไทม์ สามารถใช้แท็บ Performance เพื่อบันทึกและวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์บนเว็บไซต์
Web Vitals Extension
ส่วนขยายของ Chrome ที่แสดงค่า Core Web Vitals รวมถึง INP แบบเรียลไทม์ขณะท่องเว็บ ช่วยให้คุณตรวจสอบประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
Lighthouse
เครื่องมือโอเพนซอร์สจาก Google ที่จะช่วยวัดคุณภาพของเว็บเพจ สามารถวัด INP ได้ในโหมด Performance Audit และให้คำแนะนำในการปรับปรุง และเมื่อวัดค่าของ INP แล้ว ควรเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ Google กำหนด ซึ่งเกณฑ์ต่าง ๆ มีดังนี้
200 มิลลิวินาทีหรือน้อยกว่า = ดี
200-500 มิลลิวินาที = ต้องปรับปรุง
มากกว่า 500 มิลลิวินาที = แย่
วิธีปรับปรุง INP เพื่อลดระยะเวลาการโต้ตอบ
หากค่า INP ของเว็บไซต์คุณยังไม่ดีพอ นี่คือวิธีการปรับปรุงที่มีประสิทธิภาพ
ปรับปรุง JavaScript เพื่อลดการบล็อกอินพุต
JavaScript เป็นสาเหตุหลักของปัญหา INP ที่ไม่ดี เพราะเมื่อ JavaScript ทำงานหนัก เธรดหลัก (Main Thread) จะถูกบล็อก ซึ่งทำให้เว็บไซต์ไม่สามารถตอบสนองต่ออินพุตของผู้ใช้ได้
ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดย
- แยกโค้ด JavaScript ออกเป็นส่วนย่อย ๆ แทนที่จะโหลดทั้งหมดในครั้งเดียว
- ใช้เทคนิค Code Splitting เพื่อโหลดเฉพาะส่วนที่จำเป็นก่อน และโหลดส่วนอื่น ๆ ภายหลัง
- ลดขนาดของ JavaScript ด้วยการใช้เครื่องมือ Minify และ Compress เช่น Terser, Webpack หรือ Rollup เพื่อลดปริมาณข้อมูลที่ต้องดาวน์โหลดและประมวลผล
- หลีกเลี่ยงการคำนวณที่ซับซ้อนในเธรดหลักโดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้กำลังมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์
- พิจารณาการใช้ Web Workers เพื่อย้ายงานหนักไปทำในเธรดแยก
เพิ่มประสิทธิภาพการโหลดของ UI
การโหลดและเรนเดอร์ UI ที่มีประสิทธิภาพช่วยปรับปรุง INP ได้อย่างมาก
- ใช้เทคนิค Lazy Loading สำหรับรูปภาพและวิดีโอ เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเฉพาะสิ่งที่จำเป็นก่อน และโหลดองค์ประกอบอื่น ๆ เมื่อจำเป็น
- เพิ่มประสิทธิภาพ CSS โดยใช้เฉพาะสไตล์ที่จำเป็น ลดการใช้ CSS ที่ซับซ้อนหรือมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพ เช่น animations หรือ transitions ที่ซับซ้อน
- ใช้เทคนิค Virtual DOM หรือ DOM Diffing ที่มีในเฟรมเวิร์คอย่าง React, Vue หรือ Angular เพื่อลดการอัปเดต DOM โดยตรง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ทรัพยากรมาก
ลดการใช้ Third-party Scripts ที่ส่งผลกระทบต่อ INP
Third-party Scripts มักเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ INP แย่ลง
- ตรวจสอบและลด Third-party Scripts ที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะสคริปต์โฆษณา เครื่องมือวิเคราะห์ หรือวิดเจ็ตโซเชียลมีเดียที่ไม่จำเป็น
- ใช้เทคนิค Async หรือ Defer ในการโหลด Third-party Scripts เพื่อไม่ให้บล็อกการเรนเดอร์หน้าเว็บ
- พิจารณาใช้ Self-hosted Scripts แทนการโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ภายนอก เพื่อควบคุมประสิทธิภาพได้ดีขึ้น
วิธีใช้ Web Worker และ Asynchronous Processing
Web Workers เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยปรับปรุง INP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ย้ายงานที่ประมวลผลหนักไปทำใน Web Workers เพื่อไม่ให้บล็อกเธรดหลัก ทำให้ UI ยังคงตอบสนองได้แม้ในระหว่างการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่
- ใช้ Asynchronous JavaScript เช่น Promise, async/await เพื่อจัดการงานที่ต้องรอผล โดยไม่บล็อกเธรดหลัก
- แยกงานที่ใช้เวลานานออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ด้วยเทคนิค Task Scheduling โดยใช้ requestAnimationFrame() หรือ requestIdleCallback() เพื่อให้เบราว์เซอร์สามารถจัดการงานอื่น ๆ ในระหว่างนั้นได้
สรุป
INP เป็นเมทริกใหม่ที่สำคัญมากสำหรับผู้ดูแลเว็บไซต์และนักพัฒนา เพราะจะกลายเป็นปัจจัยในการจัดอันดับของ Google อย่างเป็นทางการในปี 2025 เว็บไซต์ที่เตรียมตัวล่วงหน้าจะได้เปรียบในการแข่งขัน การเริ่มวัดและปรับปรุงค่า INP ตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้คุณพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้
หากเว็บไซต์ของคุณไม่มี Traffic เข้ามาเลย ดูไม่น่าใช้งาน หรือต้องการทำเว็บไซต์ใหม่ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าของคุณ สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของ Yes Web Design Studio ได้เลย เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทย รับทำเว็บไซต์ครบวงจร ซึ่งรวมไปถึงบริการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์ด้วยเช่นกัน
Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)