ในปี 2025 การแข่งขันในโลกออนไลน์จะยังคงมีความเข้มข้น ดังนั้นการทำ SEO หรือการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหาบน Google นั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่และขยายธุรกิจของคุณได้ หากมีการเลือกใช้เครื่องมือ SEO ที่เหมาะสม ก็จะยิ่งสามารถช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการทำ SEO และสามารถเอาชนะคู่แข่งในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน และในบทความนี้เราจะแนะนำ 15 SEO Tools ที่ Yes ใช้และอยากแนะนำในปี 2025
SEO Tools คืออะไร
เครื่องมือ SEO หรือ SEO Tools คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์ Search Marketing ของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้คุณตรวจสอบคีย์เวิร์ด อันดับเว็บไซต์ ข้อบกพร่องในด้านเทคนิคของเว็บไซต์ และการแข่งขันในตลาดได้อีกด้วย
ประโยชน์ของการใช้ SEO Tools
การใช้ SEO Tools ช่วยให้การวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ วิเคราะห์คู่แข่ง หรือสามารถปรับปรุงคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้ได้ง่ายขึ้น หรือสามารถเจาะกลุ่มตลาดออนไลน์ได้ด้วยกลยุทธ์ SEO
5 ประเภทของ SEO Tools มีอะไรบ้าง
1. เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด (Keyword Research)
เครื่องมือประเภทนี้มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยค้นหาคำค้นที่เหมาะสม หรือค้นหาคำที่เป็นที่นิยมกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยทำให้คุณสามารถวางแผนการทำเนื้อหาได้ดีขึ้นและตรงกับความต้องการของผู้ค้นหาได้อย่างแม่นยำในการค้นหาคำนั้น ๆ ซึ่งในตอนนี้ก็มีหลากหลายเครื่องมือที่ถูกนำไปใช้ในการค้นหาคีย์เวิร์ดต่าง เช่น Google Keyword Planner หรือ Ahrefs และ SEMrush ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับความนิยมของคีย์เวิร์ด คำค้นที่เกี่ยวข้อง หรือแม้กระทั่งระดับการแข่งขันได้
2. เครื่องมือตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ (Rank Tracking)
เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามตำแหน่งของคีย์เวิร์ดบน Google ได้ด้วยคีย์เวิร์ดที่เลือกไว้ สามารถตรวจสอบได้ว่าเว็บไซต์ของผู้ใช้อยู่ในตำแหน่งไหนในผลลัพธ์ของการค้นหา รวมถึงสามารถวิเคราะห์อันดับของคีย์เวิร์ดได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการปรับกลยุทธ์ SEO ให้เหมาะสมได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงเนื้อหา หรือการเพิ่ม Backlink เพื่อรักษาหรือพัฒนาตำแหน่งให้ดีขึ้น ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ได้ เช่น Moz, SERPWatcher หรือ AccuRanker
3. เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ (Site Audit)
เครื่องมือประเภทนี้สามารถช่วยให้คุณตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ และยังสามารถค้นหาปัญหาภายในที่อาจส่งผลกระทบต่อ SEO ได้ เช่น ลิงก์เสีย หรือปัญหาความเร็วในการโหลดหน้า ปัญหาโครงสร้าง URL หรือปัญหาในการใช้งานที่อาจทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ไม่ดี ซึ่งเครื่องมือในหมวดนี้จะช่วยให้คุณสามารถระบุและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเครื่องมือ เช่น Screaming Frog, SEMrush Site Audit, หรือ Sitebulb
4. เครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor Analysis)
เครื่องมือประเภทนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจกลยุทธ์ SEO ของคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งการรู้จักคู่แข่งจะช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้และสามารถนำมาปรับใช้ในกลยุทธ์ SEO ของตัวเองได้ เและยังช่วยให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคู่แข่งมีการใช้คำค้นใดบ้าง ทำลิงก์จากแหล่งไหน หรือใช้วิธีใดในการดึงดูดผู้ชม ซึ่งตัวอย่างเครื่องมือที่ผู้คนนิยมใช้นั่นก็คือ SpyFu, SimilarWeb, หรือ Ahrefs’ Competitor Research
5. เครื่องมือสร้างลิงก์ (Link Building)
เครื่องมือนี้จะมุ่งเน้นไปที่การช่วยค้นหาโอกาสในการสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพให้คุณได้ ซึ่งทำให้มีผลต่อการเพิ่มอันดับในผลการค้นหาของ Google เพราะการมี Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของผู้ใช้ จะสามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ได้ และยังทำให้คุณติดอันดับสูงที่ขึ้น ตัวอย่างเครื่องมือในการสร้างลิงก์ เช่น BuzzSumo, Majestic, และ Hunter.io
รวม 15 SEO Tools ที่ช่วยให้คุณเอาชนะคู่แข่งในปี 2025
1. Google Search Console
เป็นเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบสถานะเว็บไซต์และการจัดทำดัชนีของ Google และยังแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการค้นหาของผู้ใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นคำค้นที่นำผู้ใช้มายังเว็บไซต์ จำนวนคลิก หรือการแสดงผลบนหน้า SERP (Search Engine Results Page)
ข้อดี
- ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในผลการค้นหา
- ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการจัดทำดัชนี
- แสดงข้อมูลคำค้นหาในการเข้าถึงเว็บไซต์
ราคา
- ฟรี
Website
2. Google Analytics
เครื่องมือนี้สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ในเว็บไซต์และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม เวลาที่ใช้ในแต่ละหน้า ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงจากการเข้าชมหน้าเว็บไซต์หรือแหล่งที่มาของการเข้าชม
ข้อดี
- วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ในเว็บไซต์
- ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแหล่งที่มาของการเข้าชม
- ช่วยในการติดตาม Conversion และเป้าหมายทางธุรกิจ
ราคา
- ฟรี (มีเวอร์ชันเสียค่าใช้จ่ายเพื่อใช้ฟีเจอร์ขั้นสูง)
Website
3. Google Keyword Planner
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการค้นหาคีย์เวิร์ดสำหรับแคมเปญโฆษณา หรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหาคีย์เวิร์ด ความยากง่ายในการแข่งขัน และคำค้นที่เกี่ยวข้อง
ข้อดี
- ค้นหาและวิเคราะห์คีย์เวิร์ด
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหาและการแข่งขันของคีย์เวิร์ด
ราคา
- ฟรี (ต้องมีบัญชี Google Ads)
Website
4. Ahrefs
สามารถใช้เพื่อวิเคราะห์ Backlink และตรวจสอบคีย์เวิร์ดได้ โดยแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ Backlink Profile อันดับของคีย์เวิร์ด หรือการวิเคราะห์คู่แข่ง รวมถึงการติดตามความคืบหน้าใน SEO ทั้งหมด
ข้อดี
- วิเคราะห์โปรไฟล์ Backlink อย่างละเอียด
- มีฟีเจอร์ Site Explorer สำหรับวิเคราะห์เว็บไซต์คู่แข่ง
- ช่วยในการค้นหาและวิเคราะห์คีย์เวิร์ด
ราคา
- เริ่มต้นที่ $129/เดือน
Website
5. SEMrush
เป็นเครื่องมือที่ครอบคลุมทุกด้านของ SEO ตั้งแต่คีย์เวิร์ดไปจนถึงการวิเคราะห์คู่แข่ง รวมถึงการตรวจสอบวิเคราะห์ Backlink และการทำ Site Audit ที่จะทำให้สามารถวางแผน SEO ได้อย่างรอบคอบและมีข้อมูลครบถ้วน
ข้อดี
- เป็นเครื่องมือครบวงจรสำหรับ SEO และการตลาดออนไลน์
- มีฟีเจอร์วิเคราะห์คีย์เวิร์ด การตรวจสอบ Backlink และการวิเคราะห์คู่แข่ง
- ช่วยในการวางแผนและติดตามแคมเปญการตลาด
ราคา
- เริ่มต้นที่ $119.95 /เดือน
Website
6. Moz Pro
เครื่องมือนี้ฟีเจอร์ที่ช่วยในการวิเคราะห์ลิงก์ และการตรวจสอบอันดับคีย์เวิร์ด รวมถึงการทำ Site Audit และการวิเคราะห์ข้อมูล SEO อื่น ๆ ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์สามารถปรับตัวในแง่ของ SEO ได้ดียิ่งขึ้น
ข้อดี
- มีฟีเจอร์วิเคราะห์คีย์เวิร์ดและการติดตามอันดับ
- ช่วยในการวิเคราะห์โปรไฟล์ลิงก์และการตรวจสอบเว็บไซต์
- มีเครื่องมือสำหรับการวิจัยและวิเคราะห์ SEO
ราคา
- เริ่มต้นที่ $99/เดือน
Website
7. Ubersuggest
เป็นเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ใช้งานง่าย โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับความยากง่ายในการแข่งขันของคีย์เวิร์ด การค้นหาคำค้นที่มีความนิยม รวมถึงคำแนะนำในการสร้างเนื้อหาที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มอันดับ SEO
ข้อดี
- ใช้งานง่าย
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหาและแนวโน้มของคีย์เวิร์ด
- มีฟีเจอร์วิเคราะห์เว็บไซต์และเนื้อหา
ราคา
- มีเวอร์ชันฟรี และเวอร์ชันเสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ $29/เดือน
Website
8. Screaming Frog SEO Spider
เป็นตัวช่วยในการตรวจสอบโครงสร้างเว็บไซต์และปัญหาทางเทคนิค เช่น การค้นหาลิงก์เสีย การตรวจสอบปัญหาการทำ SEO On-Page หรือการตรวจสอบ Metadata ไปจนถึงการวิเคราะห์โครงสร้าง URL ซึ่งจะช่วยในการทำ Site Audit และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้
ข้อดี
- ช่วยตรวจสอบโครงสร้างเว็บไซต์และปัญหาทางเทคนิค
- สามารถค้นหาลิงก์เสีย ตรวจสอบ Metadata และวิเคราะห์โครงสร้าง URL
- เหมาะสำหรับการทำ Site Audit
ราคา
- มีเวอร์ชันฟรี และเวอร์ชันเสียค่าใช้จ่าย £149/ปี
Website
9. Surfer SEO
เครื่องมือนี้จะช่วยให้เนื้อหาของคุณเหมาะสมกับ SEO และสามารถช่วยให้ติดอันดับสูงขึ้นด้วยการใช้ข้อมูลจาก SERP เพื่อแนะนำการปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสม
ข้อดี
- ช่วยปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมกับ SEO
- ใช้ข้อมูลจาก SERP เพื่อแนะนำการปรับปรุงเนื้อหา
- มีฟีเจอร์ Content Editor สำหรับการสร้างเนื้อหาที่เหมาะสม
ราคา
- เริ่มต้นที่ $59/เดือน
Website
10. SERanking
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ข้อมูลการจัดอันดับคีย์เวิร์ดแบบเรียลไทม์ สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งในผลการค้นหาของคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ได้ และนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับกลยุทธ์ SEO
ข้อดี
- เครื่องมือแบบครบวงจรสำหรับการติดตามอันดับคีย์เวิร์ด
- มีฟีเจอร์วิเคราะห์เว็บไซต์ การตรวจสอบ Backlink และการวิเคราะห์คู่แข่ง
- มีฟีเจอร์สำหรับการวางแผนและติดตามแคมเปญการตลาด
ราคา
- เริ่มต้นที่ $39 ต่อเดือน
Website
11. SEOptimer
สามารถใช้ในการตรวจสอบและให้คะแนนประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้ ใช้ช่วยวิเคราะห์ในหลายด้าน เช่น SEO On-Page การโหลดหน้าเว็บไซต์ Mobile Friendly เป็นต้น
ข้อดี
- ตรวจสอบและให้คะแนนประสิทธิภาพของเว็บไซต์
- วิเคราะห์การโหลดหน้าเว็บไซต์ การรองรับอุปกรณ์พกพา และ SEO On-Page
- มีรายงานที่เข้าใจง่ายและคำแนะนำในการปรับปรุง
ราคา
- ฟรี (สำหรับการตรวจสอบพื้นฐาน)
- ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ $19 /เดือน
Website
12. Majestic SEO
ใช้ในการวิเคราะห์โปรไฟล์ลิงก์ย้อนกลับ (Backlink Profile) โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับลิงก์ที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน และแสดงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคุณภาพและจำนวนของ Backlink Profile
ข้อดี
- โดดเด่นด้านการวิเคราะห์ Backlink และโปรไฟล์ลิงก์
- มี Trust Flow และ Citation Flow สำหรับวิเคราะห์คุณภาพของลิงก์
- สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์คู่แข่ง
- มีดัชนีลิงก์ที่ใหญ่และอัปเดตบ่อย
ราคา
- Lite Plan: $49.99 /เดือน
- Pro Plan: $99.99 /เดือน
- API Plan: $399.99 /เดือน
Website
13. AnswerThePublic
เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการคิดคอนเทนต์จากคำถามที่ผู้ใช้ค้นหาใน Google โดยจะรวบรวมคำถามที่เป็นที่นิยมในหมวดหมู่ต่าง ๆ
ข้อดี
- ใช้สำหรับค้นหาคำถามและหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด
- แสดงข้อมูลเป็นแผนภาพ ช่วยให้เข้าใจแนวโน้มของผู้ใช้
- ช่วยให้สร้างเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
- เหมาะสำหรับการวิจัยคีย์เวิร์ดและแนวคิดการเขียนบทความ
ราคา
- ฟรี (จำกัดจำนวนการค้นหาต่อวัน)
- ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ $9/เดือน
Website
14. Mangools (KWFinder, SERPWatcher)
Mangools มีเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด (KWFinder) และการติดตามอันดับ (SERPWatcher) โดยจะให้ข้อมูลที่ช่วยในการเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม และตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของอันดับคีย์เวิร์ดในผลการค้นหาของ Google
ข้อดี
- KWFinder : ใช้สำหรับค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำ
- SERPWatche r: ใช้สำหรับติดตามอันดับของคีย์เวิร์ดในผลการค้นหา
- SERPChecker : วิเคราะห์ SERP และการแข่งขัน
- เครื่องมือใช้งานง่าย มี UI ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้
- เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักการตลาด
ราคา
- Basic Plan : $29.90 ต่อเดือน
- Premium Plan : $44.90 ต่อเดือน
- Agency Plan : $89.90 ต่อเดือน
Website
15. ChatGPT for SEO
เป็นตัวช่วยในการสร้างคอนเทนต์และวิเคราะห์ข้อมูล SEO และยังสามารถใช้สร้างบทความที่มีคุณภาพ ตอบคำถามเกี่ยวกับ SEO ได้ หรือช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือ SEO อื่น ๆ เพื่อพัฒนากลยุทธ์ SEO วิธีเลือกใช้ SEO Tools ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
ข้อดี
- ใช้ AI วิเคราะห์และสร้างเนื้อหาที่เหมาะสมกับ SEO
- ช่วยในการสร้าง Meta Title, Meta Description, คำอธิบายบทความ และโครงสร้างเนื้อหา
- สามารถใช้เพื่อวิจัยคีย์เวิร์ด และวิเคราะห์แนวโน้มของเนื้อหา
- ลดระยะเวลาในการทำ SEO Content
ราคา
- ฟรี (ChatGPT รุ่นปกติ)
- ChatGPT Plus : $20/เดือน
Website
เลือก SEO Tools จากอะไรดี
เลือกเครื่องมือที่ตอบโจทย์เป้าหมาย SEO
ในการเลือกใช้เครื่องมือควรเริ่มด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด หรือต้องการติดตามอันดับเพื่อวิเคราะห์ตำแหน่งของคีย์เวิร์ด หรือตรวจสอบปัญหาทางเทคนิคบนเว็บไซต์ นอกจากนี้ควรพิจารณาตามความสะดวกในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ และความสามารถในการรวมฟังก์ชันต่าง ๆ ในเครื่องมือเดียว ก็จะช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจ
เลือกจากงบประมาณ
ควรพิจารณาความคุ้มค่าของเครื่องมือที่เหมาะสมกับฟังก์ชันที่ต้องการ หากเป็นธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด การใช้เครื่องมือฟรีเช่น Google Search Console หรือ Ubersuggest ก็เป็นตัวเลือกที่ดี หากมีงบประมาณมากขึ้น อาจะเลือกใช้เครื่องมือที่มีราคาย่อมเยา เช่น SEOptimer หรือ SERanking หากต้องการฟีเจอร์ที่ครบครันและข้อมูลเชิงลึก สามารถใช้เครื่องมือที่มีราคามากขึ้น เช่น SEMrush หรือ Ahrefs
อ่านต่อเพิ่มเติม : 4 เทคนิค ทำ SEO ด้วยตัวเอง แบบไม่ต้องเสียตังค์
สรุป
SEO Tools เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณแข่งขันในตลาดดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับกลยุทธ์ของคุณ หากคุณต้องการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์หรือปรับปรุง SEO สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของ Yes Web Design Studio ได้เลย เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทยที่ให้บริการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ รวมถึงบริการการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน
หากธุรกิจของคุณต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของ Yes Web Design Studio ได้ เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์ชั้นนำในไทยที่ไม่เพียงรับทำเว็บไซต์ แต่ยังให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลและ AI Solution อย่างครบวงจร
Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)
