Rich snippets คืออะไร? ทำคอนเทนต์ SEO บนเว็บไซต์ให้โดดเด่น

บทความโดย Yes Web Design Studio

Rich snippets คืออะไร? ทำคอนเทนต์ SEO บนเว็บไซต์ให้โดดเด่น
Table of Contents

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Job Posting Snippets เคยสังเกตไหมว่าบางครั้งเวลาค้นหาข้อมูลบน Google คุณจะเห็นผลการค้นหาที่มีดาวรีวิว รูปภาพอาหารพร้อมเวลาในการทำ หรือข้อมูลราคาสินค้าปรากฏขึ้นมาบนหน้าผลการค้นหา? นั่นคือพลังของ Rich Snippets ที่ช่วยทำให้ข้อมูลของคุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง และบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ Rich Snippets มากขึ้น ทั้งความสำคัญต่อด้าน SEO ทั้งประเภทต่าง ๆ และวิธีสร้าง Rich Snippets

 

 

Rich snippets คืออะไร?

 

Rich snippets คืออะไร?

 

Rich Snippets เป็นข้อมูลพิเศษที่ Google แสดงในผลการค้นหานอกเหนือจากชื่อเรื่องและคำอธิบายมาตรฐาน โดยแสดงข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเนื้อหาของเว็บเพจ เช่น คะแนนดาว ราคาสินค้า เวลาในการทำอาหาร หรือคำถามที่พบบ่อย โดยเมื่อ Google เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ชัดเจนขึ้น มันสามารถนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานมากขึ้น ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสได้รับการคลิกเข้าชมสูงขึ้นแม้จะไม่ได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาก็ตาม

 

Snippets vs. Rich Snippets ต่างกันยังไง?

Snippets – ข้อมูลพื้นฐานที่ Google แสดงในผลการค้นหา ประกอบด้วยชื่อเรื่อง (Title) URL ของเว็บเพจ และ Meta Description หรือข้อความสั้น ๆ ที่อธิบายเนื้อหา

Meta Description คืออะไร? พร้อมวิธีเขียนให้ติด SEO

อ่านบทความเพิ่มเติม : https://yeswebdesignstudio.com/th/blog/what-is-meta-description/ 

 

Rich Snippets – มีองค์ประกอบเพิ่มเติมที่ทำให้ผลการค้นหาน่าสนใจมากขึ้น เช่นคะแนนดาวจากรีวิว ราคาสินค้า รูปภาพ เวลาในการทำอาหาร จำนวนแคลอรี่ คำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อย

 

ซึ่งความแตกต่างสำคัญคือ Rich Snippets จะแสดงข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงและน่าสนใจมากกว่า ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเห็นข้อมูลที่ต้องการได้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์

 

ตัวอย่างประเภทของ Rich Snippets ที่พบบ่อย

 

รีวิว (Review Snippets)

Rich Snippets ประเภทนี้แสดงคะแนนดาวและจำนวนรีวิวของสินค้าหรือบริการ ทำให้ผู้ใช้งานเห็นความน่าเชื่อถือได้ทันที เหมาะสำหรับร้านอาหาร โรงแรม หรือเว็บไซต์รีวิวสินค้าต่าง ๆ

 

ผลิตภัณฑ์ (Product Snippets)

แสดงข้อมูลสำคัญของสินค้า เช่น ราคา ความพร้อมในการจัดส่ง และคะแนนรีวิว ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเปรียบเทียบสินค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 

สูตรอาหาร (Recipe Snippets)

เหมาะสำหรับเว็บไซต์ด้านอาหาร โดยแสดงรูปภาพอาหาร เวลาในการทำ จำนวนแคลอรี่ และคะแนนรีวิว ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกสูตรอาหารที่เหมาะกับตนเองได้ง่ายขึ้น

 

กิจกรรม (Event Snippets)

แสดงข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรม เช่น วันที่ เวลา และสถานที่จัดงาน เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ขายบัตรคอนเสิร์ต งานสัมมนา หรือกิจกรรมต่าง ๆ

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ Snippets)

แสดงคำถามและคำตอบทั่วไปเกี่ยวกับบริการหรือผลิตภัณฑ์ของคุณ ช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ต้องการทันทีโดยไม่ต้องค้นหาเพิ่มเติม

 

วิดีโอ (Video Snippets)

แสดงภาพตัวอย่างวิดีโอพร้อมข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ระยะเวลา วันที่อัปโหลด และช่องทางเผยแพร่ เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาวิดีโอ

 

ธุรกิจในท้องถิ่น (Local Business Snippets)

แสดงข้อมูลสำคัญของธุรกิจ เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เวลาเปิด-ปิด และรีวิวจากลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจในท้องถิ่นสามารถเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ได้มากขึ้น

 

 

ทำไม Rich Snippets จึงสำคัญต่อ SEO?

 

ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในผลการค้นหา

Rich Snippets ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณในสายตาผู้ใช้งาน เมื่อผู้ใช้เห็นข้อมูลที่มีความเฉพาะเจาะจงและมีประโยชน์ เช่น คะแนนรีวิว หรือข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ พวกเขาจะรู้สึกว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น การแสดงข้อมูลที่ตรงประเด็นและมีคุณภาพในผลการค้นหาสร้างความประทับใจแรกที่ดี และส่งผลต่อการตัดสินใจคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ

 

เพิ่มอัตราการคลิก (CTR)

จากการศึกษาพบว่า Rich Snippets สามารถเพิ่มอัตราการคลิก (Click-Through Rate) ได้ถึง 30% เนื่องจากผลการค้นหาที่มี Rich Snippets จะดึงดูดสายตาและความสนใจของผู้ใช้งานได้มากกว่าผลการค้นหาแบบธรรมดา

ที่มาข้อมูล : https://jemsu.com/how-can-rich-snippets-affect-organic-click-distribution-in-2024/ 

 

ยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งาน

Rich Snippets ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์เพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ทำให้ประสบการณ์การค้นหาข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เมื่อผู้ใช้งานคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ พวกเขาจะรู้สึกพึงพอใจที่ได้พบข้อมูลที่ตรงกับความต้องการ ส่งผลให้อัตราการตีกลับ (Bounce Rate) ลดลงและเวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ (Dwell Time) เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์

 

ปรับปรุงความเข้าใจเนื้อหา

การใช้ Schema Markup เพื่อสร้าง Rich Snippets ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์คุณได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ระบบสามารถจัดหมวดหมู่และแสดงผลการค้นหาได้อย่างถูกต้องและตรงประเด็น และเมื่อ Google เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น โอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะปรากฏในผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลดีต่อการทำ SEO ในระยะยาว

 

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท?

 

Featured Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Featured Snippets

 

ส่วนที่ Google คัดเลือกเนื้อหาจากเว็บไซต์ที่คิดว่าตอบคำถามผู้ใช้ได้ดีที่สุด แล้วแสดงในกล่องพิเศษด้านบนสุดของผลการค้นหา Google เลือกและดึงข้อมูลนี้โดยอัตโนมัติ โดยเจ้าของเว็บไม่สามารถกำหนดได้โดยตรงว่าเนื้อหาส่วนใดจะถูกแสดงผล

 

Review Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Review Snippets

 

แสดงคะแนนดาวและจำนวนรีวิวของสินค้าหรือบริการ โดยมักแสดงเป็นดาวสีเหลืองพร้อมคะแนนเฉลี่ย เช่น 4.5 จาก 5 ดาว และจำนวนรีวิวทั้งหมด ประเภทนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีการรีวิวสินค้า บริการ ร้านอาหาร โรงแรม หรือสถานที่ท่องเที่ยว โดยคะแนนรีวิวที่สูงจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดการคลิกได้มากขึ้น

 

Recipe Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Recipe Snippets

 

แสดงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสูตรอาหาร เช่น รูปภาพของอาหาร เวลาในการเตรียมและปรุงอาหาร จำนวนแคลอรี่ คะแนนรีวิว ส่วนผสมและขั้นตอนการทำ ประเภทนี้ช่วยให้เว็บไซต์ด้านอาหารและสูตรอาหารโดดเด่นในผลการค้นหา และช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกสูตรที่เหมาะกับเวลาและความต้องการของตนเองได้

 

Product Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Product Snippets

 

แสดงข้อมูลสำคัญของสินค้า เช่น ราคา สถานะความพร้อมจำหน่าย (มีสินค้า/สินค้าหมด) คะแนนรีวิวจากผู้ซื้อ โปรโมชั่นหรือส่วนลด เหมาะสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือเว็บไซต์ที่ขายสินค้าออนไลน์ ช่วยให้ผู้ซื้อเปรียบเทียบสินค้าและราคาได้ง่ายขึ้น

 

Event Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Event Snippets

รูปภาพจาก : elfsigh

 

แสดงข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมหรืองานต่าง ๆ เช่น ชื่อกิจกรรม วันที่และเวลา สถานที่จัดงาน ค่าเข้าร่วมงาน (ถ้ามี) ประเภทนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่จัดกิจกรรม คอนเสิร์ต การแสดง หรืองานสัมมนาต่าง ๆ ช่วยให้ผู้สนใจเข้าถึงข้อมูลสำคัญของงานได้ทันที

 

FAQ และ How-to Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - FAQ และ How-to Snippets

รูปภาพจาก : elfsigh

 

FAQ จะแสดงคำถามและคำตอบที่พบบ่อยเกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือหัวข้อใด ๆ ช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ต้องการโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์

 

How-to Snippets แสดงขั้นตอนการทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นลำดับ เหมาะสำหรับบทความสอนทำสิ่งต่าง ๆ หรือคู่มือแนะนำขั้นตอนการใช้งาน

 

Article Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Article Snippets

 

แสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความ เช่นวันที่เผยแพร่ ชื่อผู้เขียน หัวข้อหลักในบทความ ประเภทนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ข่าว บล็อก หรือเว็บไซต์ที่มีการเผยแพร่บทความเป็นประจำ

 

Book Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Book Snippets

 

Book Snippets แสดงข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือ เช่น ชื่อผู้แต่ง วันที่เผยแพร่ คะแนนรีวิว ราคา เหมาะสำหรับร้านหนังสือออนไลน์หรือเว็บไซต์ที่รีวิวหนังสือ

 

Course Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Course Snippets

 

แสดงข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สเรียนหรือการฝึกอบรม เช่นชื่อสถาบันหรือผู้สอน ระยะเวลาการเรียน ค่าเรียน ระดับความยาก เหมาะสำหรับเว็บไซต์การศึกษาออนไลน์หรือสถาบันที่เปิดสอนคอร์สต่าง ๆ

 

Job Posting Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Job Posting Snippets

รูปภาพจาก : Schema Pro

 

แสดงข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัคร เช่น ชื่อตำแหน่งงาน ชื่อบริษัท สถานที่ทำงาน เงินเดือน วันที่ประกาศรับสมัคร เหมาะสำหรับเว็บไซต์หางานหรือบริษัทที่ต้องการประกาศรับสมัครงาน

 

Video Snippets

 

Rich Snippets มีกี่ประเภท? - Video Snippets

 

แสดงภาพตัวอย่างวิดีโอพร้อมข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ระยะเวลาของวิดีโอ วันที่อัปโหลด จำนวนการรับชม และคำอธิบายย่อย ประเภทนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาวิดีโอหรือช่อง YouTube

 

 

ทำคอนเทนต์ SEO ยังไงให้ได้ Rich Snippets

การทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดง Rich Snippets บนผลการค้นหา Google ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยการเตรียมเนื้อหาและโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสม ดังนี้

 

เลือกประเภทของ Rich Snippets ที่เหมาะกับเนื้อหา

พิจารณาว่าเนื้อหาของคุณเข้ากับ Rich Snippets ประเภทใด เช่น หากเป็นสูตรอาหาร ควรใช้ Recipe Snippets หากเป็นบทความรีวิว ควรใช้ Review Snippets

 

สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและครบถ้วน

Rich Snippets จะแสดงข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์ของคุณ ดังนั้นต้องมั่นใจว่าเนื้อหามีความครบถ้วนและมีคุณภาพ เช่น สูตรอาหารควรมีส่วนผสม ขั้นตอนการทำ เวลาในการเตรียมและปรุงอาหาร

 

จัดโครงสร้างข้อมูลให้ชัดเจน

ใช้ HTML ที่มีความหมายและโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น ใช้ <h1>, <h2>, <h3> สำหรับหัวข้อ, <ul> และ <li> สำหรับรายการ

 

เพิ่ม Schema Markup

ใช้ Schema Markup เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดียิ่งขึ้น (จะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป)

 

แสดงข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์

ทำให้ข้อมูลที่คุณต้องการให้แสดงใน Rich Snippets มีความชัดเจนและเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้งาน

 

ทำให้ข้อมูลเข้าถึงได้ง่าย

ข้อมูลที่จะแสดงใน Rich Snippets ควรอยู่ในส่วนที่ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ง่าย ไม่ซ่อนอยู่ในส่วนที่เข้าถึงยาก

 

ปฏิบัติตามแนวทางของ Google 

ปฏิบัติตามแนวทางของ Google เกี่ยวกับ Rich Snippets และ Schema Markup อย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ

 

 

การใช้งาน Schema Markup เพื่อสร้าง Rich Snippets

Schema Markup เป็นโค้ด HTML พิเศษที่ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น โดยใช้คำศัพท์ที่เป็นมาตรฐานจาก Schema.org ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Bing, Yahoo และ Yandex

 

Schema Markup จะระบุประเภทของเนื้อหาและคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น หากเนื้อหาเป็นสูตรอาหาร Schema Markup จะระบุส่วนผสม เวลาในการทำ และคะแนนรีวิว ทำให้ Google สามารถแสดงข้อมูลเหล่านี้ใน Rich Snippets ได้

วิธีติดตั้ง Schema Markup แบบเข้าใจง่าย

เปรียบเสมือนการติดป้ายชื่อให้กับเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ Schema Markup คือภาษาพิเศษที่ช่วยให้ Google เข้าใจว่าแต่ละส่วนของเว็บไซต์คุณคืออะไร มาดูวิธีติดตั้งที่เข้าใจง่ายกัน

 

1. วิธีติดตั้งแบบ JSON-LD (แนะนำโดย Google)

JSON-LD เป็นวิธีที่ Google แนะนำ เพราะง่ายและไม่ยุ่งเกี่ยวกับโครงสร้าง HTML ของคุณ

 

ขั้นตอนการติดตั้ง

  1. สร้างโค้ด JSON-LD สำหรับประเภทเนื้อหาของคุณ (สามารถใช้เครื่องมือออนไลน์ช่วยสร้างได้)
  2. คัดลอกโค้ด JSON-LD ที่ได้
  3. วางโค้ดไว้ในส่วน <head> ของหน้าเว็บ โดยครอบด้วยแท็ก <script type=”application/ld+json”> และ </script>

 

2. วิธีติดตั้งแบบ Microdata (ฝังในเนื้อหา HTML)

Microdata จะฝังไปกับโครงสร้าง HTML เดิมของคุณ โดยเพิ่มแอตทริบิวต์พิเศษเข้าไป

ขั้นตอนการติดตั้ง

  1. ระบุส่วนของ HTML ที่ต้องการติด Schema Markup
  2. เพิ่มแอตทริบิวต์ itemscope ให้กับองค์ประกอบหลัก
  3. เพิ่มแอตทริบิวต์ itemtype พร้อมกับ URL ของ Schema ที่ต้องการใช้
  4. ใส่แอตทริบิวต์ itemprop สำหรับองค์ประกอบย่อยต่างๆ

 

3. วิธีติดตั้งผ่านปลั๊กอิน WordPress

หากคุณใช้ WordPress การติดตั้ง Schema Markup จะง่ายมากผ่านปลั๊กอิน

 

ขั้นตอนการติดตั้ง

  1. เข้าไปที่หน้า “ปลั๊กอิน” ใน WordPress Admin
  2. คลิก “เพิ่มปลั๊กอินใหม่”
  3. ค้นหาปลั๊กอินด้าน Schema Markup เช่น “Yoast SEO”, “Rank Math”, “Schema Pro” หรือ “All in One Schema Rich Snippets”
  4. ติดตั้งและเปิดใช้งานปลั๊กอิน
  5. ตั้งค่าปลั๊กอินตามประเภทเนื้อหาที่คุณมี

 

วิธีใช้งานกับ Yoast SEO (ปลั๊กอินยอดนิยม)

  1. หลังติดตั้ง Yoast SEO ให้เปิดหน้าแก้ไขโพสต์หรือเพจ
  2. เลื่อนลงไปที่ส่วน Yoast SEO ด้านล่าง
  3. คลิกที่แท็บ “Schema”
  4. เลือกประเภทเนื้อหา เช่น บทความ, สินค้า, สูตรอาหาร
  5. กรอกข้อมูลที่จำเป็นให้ครบถ้วน
  6. บันทึกการเปลี่ยนแปลง

 

เคล็ดลับสำหรับผู้เริ่มต้น

  1. เริ่มจากเนื้อหาสำคัญก่อน – ไม่จำเป็นต้องติด Schema ทุกหน้า เริ่มจากหน้าที่มีคนเข้าชมมากที่สุดก่อน
  2. ใช้เครื่องมือช่วยสร้าง – เว็บไซต์อย่าง Schema Markup Generator หรือ Google’s Structured Data Markup Helper ช่วยสร้างโค้ดให้คุณได้
  3. ตรวจสอบความถูกต้อง – หลังติดตั้งแล้ว ตรวจสอบด้วย Google Rich Results Test ทุกครั้ง
  4. เริ่มจากง่ายไปยาก – หากไม่มีประสบการณ์ด้านโค้ด ให้เริ่มจากการใช้ปลั๊กอินก่อน แล้วค่อยศึกษาวิธีการทำด้วยตัวเอง

 

 

วิธีตรวจสอบ Rich Snippets ว่าทำงานหรือไม่ ทำยังไง?

หลังจากที่คุณได้ติดตั้ง Schema Markup ลงบนเว็บไซต์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจสอบว่า Rich Snippets ของคุณทำงานถูกต้องหรือไม่ ซึ่งมีเครื่องมือที่ช่วยให้คุณตรวจสอบได้ง่ายๆ ดังนี้

 

ใช้เครื่องมือ Google Rich Results Test

Google Rich Results Test เป็นเครื่องมือทดสอบฟรีที่ช่วยให้คุณตรวจสอบว่า Schema Markup ของคุณทำงานได้ถูกต้องและมีสิทธิ์แสดงเป็น Rich Snippets หรือไม่

 

วิธีการใช้งาน

  1. เข้าไปที่เว็บไซต์ Google Rich Results Test
  2. ใส่ URL ของหน้าเว็บที่คุณต้องการตรวจสอบ หรือวางโค้ด HTML ของหน้าเว็บนั้น
  3. คลิกที่ปุ่ม “TEST URL” หรือ “TEST CODE”
  4. รอสักครู่เพื่อให้ระบบวิเคราะห์หน้าเว็บของคุณ
  5. เมื่อการทดสอบเสร็จสิ้น ระบบจะแสดงผลว่าหน้าเว็บของคุณมี Rich Results ประเภทใดบ้าง และมีข้อผิดพลาดหรือคำเตือนใดที่ควรแก้ไขหรือไม่

 

เครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพตัวอย่างของ Rich Snippets และช่วยระบุปัญหาที่อาจทำให้ Rich Snippets ไม่แสดงผล เช่น ข้อมูลที่จำเป็นขาดหายไป หรือโครงสร้างของ Schema Markup ไม่ถูกต้อง

 

ตรวจสอบผ่าน Search Console

Google Search Console เป็นเครื่องมืออีกตัวที่ช่วยให้คุณตรวจสอบสถานะของ Rich Snippets บนเว็บไซต์ของคุณ โดยจะแสดงข้อมูลเชิงลึกมากกว่า Rich Results Test เนื่องจากเป็นข้อมูลจริงจากการทำ Crawl ของ Google

 

วิธีการใช้งาน

  1. ลงทะเบียนเว็บไซต์ของคุณกับ Google Search Console (หากยังไม่ได้ลงทะเบียน)
  2. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ไปที่เมนู “Enhancements” หรือ “การปรับปรุง”
  3. ในส่วนนี้ คุณจะเห็นประเภทของ Rich Results ที่ Google พบบนเว็บไซต์ของคุณ เช่น Products, FAQs, How-tos, Events เป็นต้น
  4. คลิกที่ประเภทใดประเภทหนึ่งเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งจะแสดงจำนวนหน้าที่มี Rich Results นั้น ปัญหาที่พบ และข้อเสนอแนะในการแก้ไข

 

การตรวจสอบผ่าน Search Console มีข้อดีคือ

  • เห็นข้อมูลจริงจากการทำ Crawl ของ Google ไม่ใช่แค่การจำลอง
  • ติดตามการเปลี่ยนแปลงของ Rich Results ได้ตลอดเวลา
  • รับการแจ้งเตือนเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับ Rich Results ของคุณ
  • ดูสถิติการคลิกและการแสดงผลของ Rich Results ได้

 

ทั้งนี้ ควรใช้ทั้งสองเครื่องมือควบคู่กันเพื่อให้มั่นใจว่า Rich Snippets ของคุณทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

 

 

ข้อควรระวังและแนวทางปฏิบัติที่ดี

การใช้ Rich Snippets อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษจาก Google ต่อไปนี้เป็นข้อควรระวังและแนวทางปฏิบัติที่ดี:

 

หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลปลอม (Spam Markup)

Google มีความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพของ Rich Snippets และจะลงโทษเว็บไซต์ที่พยายามหลอกลวงผู้ใช้งานด้วยข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการกระทำต่อไปนี้

  1. การใส่ข้อมูลเท็จ – เช่น แสดงคะแนนรีวิวที่สูงเกินจริง หรือราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อหลอกล่อให้ผู้ใช้งานคลิกเข้าชมเว็บไซต์
  2. การใช้ Schema Markup ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา – เช่น ใช้ Recipe Schema กับเนื้อหาที่ไม่ใช่สูตรอาหาร หรือใช้ Review Schema กับเนื้อหาที่ไม่มีการรีวิวจริง
  3. การซ่อน Schema Markup จากผู้ใช้งาน – ข้อมูลที่อยู่ใน Schema Markup ควรปรากฏให้ผู้ใช้งานเห็นบนหน้าเว็บด้วย ไม่ควรซ่อนข้อมูลไว้หรือแสดงข้อมูลที่แตกต่างกันระหว่าง Schema Markup กับเนื้อหาที่ผู้ใช้งานเห็น
  4. การใช้ Markup อัตโนมัติโดยไม่ตรวจสอบ – บางเครื่องมือสามารถสร้าง Schema Markup โดยอัตโนมัติ แต่อาจไม่ถูกต้องเสมอไป ควรตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้

 

หากคุณถูกตรวจพบว่าใช้ Spam Markup Google อาจลงโทษโดยไม่แสดง Rich Snippets ของคุณ หรือในกรณีร้ายแรงก็อาจส่งผลกระทบต่ออันดับของเว็บไซต์คุณในผลการค้นหา

 

ปฏิบัติตามแนวทางของ Google อย่างเคร่งครัด

Google มีแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ Schema Markup และ Rich Snippets ซึ่งควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดังนี้

  1. ใช้ Schema Markup ที่ตรงกับเนื้อหา – เลือกใช้ Schema ที่เหมาะสมกับประเภทของเนื้อหา เช่น Product Schema สำหรับหน้าสินค้า Recipe Schema สำหรับสูตรอาหาร
  2. ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน – ข้อมูลใน Schema Markup ควรครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน เช่น ราคาสินค้า สถานะความพร้อมจำหน่าย คะแนนรีวิว
  3. ทำตามข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละประเภท – แต่ละประเภทของ Rich Snippets มีข้อกำหนดเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น Review Snippets ต้องมาจากการรีวิวจริงของผู้ใช้งาน ไม่ใช่การสร้างขึ้นเอง
  4. ทดสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด – ทดสอบ Schema Markup ด้วยเครื่องมือของ Google และแก้ไขข้อผิดพลาดที่พบ
  5. อัปเดต Schema Markup เมื่อเนื้อหาเปลี่ยนแปลง – เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาบนเว็บไซต์ ควรอัปเดต Schema Markup ให้สอดคล้องกัน
  6. ไม่ใช้ Schema Markup มากเกินไป – ใช้เฉพาะ Schema ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ไม่ควรใส่ Schema ทุกประเภทโดยไม่จำเป็น

 

การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับประโยชน์สูงสุดจาก Rich Snippets และหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษจาก Google

 

 

สรุป

Rich Snippets เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการทำ SEO ที่ช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นในผลการค้นหาของ Google และการใช้อย่างถูกต้องจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ เพิ่มอัตราการคลิก (CTR) และปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ซึ่งส่งผลดีต่อการจัดอันดับใน SEO ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามแนวทางของ Google อย่างเคร่งครัด ใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นจริง และหลีกเลี่ยงการใช้ Spam Markup เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณได้รับประโยชน์สูงสุดจาก Rich Snippets

 

การลงทุนเวลาในการติดตั้งและปรับแต่ง Rich Snippets จะช่วยยกระดับกลยุทธ์ SEO ของคุณและทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความได้เปรียบในการแข่งขันบนโลกออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูง เริ่มต้นวันนี้เพื่อเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

 

หากเว็บไซต์ของคุณไม่มี Traffic เข้ามาเลย ดูไม่น่าใช้งาน หรือต้องการทำเว็บไซต์ใหม่ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าของคุณ สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของ Yes Web Design Studio ได้เลย เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทย รับทำเว็บไซต์ครบวงจร ซึ่งรวมไปถึงบริการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์ด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

มีโปรเจกต์ในใจแล้วใช่ไหม ?