หากคุณเป็เจ้าของเว็บไซต์ ในบางครั้งเราจำเป็นต้องย้ายหน้าเว็บ เปลี่ยนโดเมน หรือปรับโครงสร้างเว็บไซต์ แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มาพร้อมความเสี่ยง หากจัดการไม่ดี ผู้เยี่ยมชมอาจเจอหน้า 404 ส่วนแบ่งการตลาดหายไป และอันดับใน Google ตกลงอย่างรวดเร็ว และนี่คือจุดที่ “Redirect” เข้ามามีบทบาทสำคัญ เปรียบเหมือนสะพานที่นำผู้ใช้จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่สะดุด บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงความสำคัญของ Redirect ประเภทต่าง ๆ ผลกระทบต่อ SEO และวิธีใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน
Redirect คืออะไร?
Redirect หรือการเปลี่ยนเส้นทาง คือกระบวนการที่นำผู้เข้าชมเว็บไซต์จาก URL หนึ่งไปยังอีก URL หนึ่งโดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้คลิกลิงก์หรือพิมพ์ URL ที่มีการตั้งค่า Redirect ระบบจะนำพวกเขาไปยังหน้าเว็บใหม่ทันทีโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม
ในทางเทคนิค Redirect ทำงานผ่านรหัสสถานะ HTTP ที่ส่งไปยังเบราว์เซอร์ บอกให้เบราว์เซอร์รู้ว่าควรขอข้อมูลจาก URL ใหม่แทน URL เดิม ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้โดยไม่สะดุด
ทำไมเว็บไซต์ต้องมี Redirect
การเปลี่ยนโครงสร้างเว็บไซต์หรือ URL
เว็บไซต์เติบโตและพัฒนาตามกาลเวลา บางครั้งเราต้องปรับโครงสร้าง URL เพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เปลี่ยนไป เช่น
จากเดิม example.com/products.php?id=123
เปลี่ยนเป็นรูปแบบที่เป็นมิตรกับ SEO มากขึ้น เช่น
example.com/products/blue-running-shoes/
เมื่อมีการปรับเปลี่ยนเช่นนี้ Redirect จะช่วยนำผู้ใช้ที่มี URL เก่าบันทึกไว้หรือคลิกจากลิงก์ภายนอกไปยัง URL ใหม่โดยอัตโนมัติ
ต้องการแก้ไขหน้าเว็บที่ Error
หากพบว่ามีหน้าเว็บที่ไม่ทำงานหรือเกิด Error บ่อยครั้ง แทนที่จะปล่อยให้ผู้ใช้เจอหน้า 404 Not Found ที่สร้างประสบการณ์แย่ ๆ เราสามารถใช้ Redirect เพื่อนำพวกเขาไปยังหน้าที่ใกล้เคียงหรือเกี่ยวข้องแทน
เช่น หากสินค้าหมด แทนที่จะแสดงหน้า “ไม่พบสินค้า” เราสามารถ Redirect ไปยังหมวดหมู่สินค้าที่คล้ายคลึงกัน ทำให้โอกาสในการรักษาลูกค้าไว้มีมากขึ้น
การทำ Index ผิดหน้า
บางครั้งเราพบว่า Google อาจ Index หน้าเว็บที่ไม่ควร Index เช่น หน้าทดสอบ หรือหน้าที่มีเนื้อหาซ้ำซ้อน การใช้ Redirect จะช่วยนำ Search Engine ไปยังหน้าที่ควร Index แทน ช่วยจัดการปัญหา Duplicate Content ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเปลี่ยนโดเมนเนม
เมื่อธุรกิจเปลี่ยนชื่อ หรือต้องการปรับแบรนด์ การเปลี่ยนโดเมนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น จาก oldname.com เป็น newbrand.com
การทำ Redirect จากโดเมนเก่าไปยังโดเมนใหม่ช่วยให้แน่ใจว่าลูกค้าเดิมยังคงเข้าถึงเว็บไซต์ได้ และที่สำคัญคือช่วยเรื่องการทำ SEO จากโดเมนเก่าไปยังโดเมนใหม่
การรวมเว็บไซต์
เมื่อบริษัทควบรวมกิจการ หรือต้องการรวมเว็บไซต์หลาย ๆ แห่งเข้าด้วยกัน การทำ Redirect จากเว็บไซต์เดิมไปยังเว็บไซต์ใหม่ช่วยรักษาทั้งผู้ชมและคุณค่าทาง SEO ไว้ได้
ตัวอย่างเช่น บริษัทแม่ซื้อกิจการบริษัทลูก และต้องการรวมเว็บไซต์ subsidiary.com เข้ากับ parentcompany.com การทำ Redirect จะช่วยให้ผู้ใช้ที่เคยรู้จักเฉพาะบริษัทลูกยังคงเข้าถึงข้อมูลได้แม้จะเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้โดเมนของบริษัทแม่
การจัดการเว็บไซต์สำหรับอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน
แม้ว่าปัจจุบันการทำเว็บไซต์แบบ Responsive จะเป็นมาตรฐาน แต่บางเว็บไซต์ยังคงมีเวอร์ชันแยกสำหรับมือถือ เช่น m.example.com
การทำ Redirect อย่างถูกต้องระหว่างเวอร์ชันเดสก์ท็อปและมือถือช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ของพวกเขา โดยไม่ต้องเสียเวลาเลือกเอง
การติดตามและการวิเคราะห์
การใช้ Redirect สามารถช่วยในการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ได้ เช่น การสร้าง URL แบบย่อสำหรับแคมเปญการตลาด (bit.ly, rebrand.ly) ที่ Redirect ไปยัง URL จริง
วิธีนี้ทำให้เราติดตามได้ว่าผู้ใช้มาจากช่องทางไหน คลิกลิงก์ในอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นข้อมูลล้ำค่าสำหรับการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ
การทำ Redirect บนเว็บไซต์สำคัญยังไง?
Redirect ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้ การทำ Redirect อย่างถูกต้องจะ
- รักษาอันดับใน Search Engine – เมื่อย้าย URL หรือปรับโครงสร้างเว็บไซต์ Redirect ช่วยถ่ายโอนความน่าเชื่อถือและอำนาจของหน้าเดิมไปยังหน้าใหม่
- ลดอัตราตีกลับ (Bounce Rate) – ผู้ใช้ที่คลิกลิงก์แล้วเจอหน้า 404 มักจะออกจากเว็บไซต์ทันที การ Redirect ช่วยให้พวกเขาได้พบกับเนื้อหาที่ต้องการแม้ URL จะเปลี่ยนไป
- เพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้ – ไม่มีใครอยากเสียเวลากับลิงก์ที่ไม่ทำงาน การ Redirect อย่างราบรื่นสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นในแบรนด์
- รักษา Backlink มูลค่าสูง – หากเว็บอื่นลิงก์มายังเว็บของคุณ การเปลี่ยน URL โดยไม่มี Redirect เท่ากับสูญเสียคุณค่าของ Backlink เหล่านั้น
- ส่งสัญญาณที่ชัดเจนแก่ Search Engine – การทำ Redirect ที่ถูกต้องช่วยให้ Google เข้าใจว่าควร Index หน้าไหน ช่วยลดความสับสนและปัญหา Duplicate Content
ประเภทของ Redirect ที่ควรรู้
301 Redirect (ถาวร)
301 Redirect เป็นการเปลี่ยนเส้นทางแบบถาวร บอกเบราว์เซอร์และ Search Engine ว่า URL ที่ร้องขอได้ย้ายไปยังตำแหน่งใหม่อย่างถาวร เหมาะสำหรับกรณีเปลี่ยนโดเมนเนม ปรับโครงสร้าง URL ถาวร รวมหลายหน้าเข้าด้วยกัน หรือเปลี่ยนโปรโตคอลจาก HTTP เป็น HTTPS
301 Redirect ส่งผ่านประมาณ 90-99% ของ “Link Juice” หรือคุณค่า SEO ไปยัง URL ใหม่ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงถาวร
ตัวอย่างโค้ด .htaccess สำหรับ 301 Redirect:
Redirect 301 /old-page.html https://www.example.com/new-page/
302 Redirect (ชั่วคราว)
302 Redirect บ่งบอกว่าการเปลี่ยนเส้นทางเป็นแบบชั่วคราว URL เดิมยังคงเป็น URL หลักและจะกลับมาใช้ในอนาคต เหมาะสำหรับการปรับปรุงเว็บไซต์ชั่วคราว โปรโมชันหรือแคมเปญตามฤดูกาล การทดสอบหน้าเว็บใหม่ และการแสดงเนื้อหาเฉพาะภูมิภาคหรือภาษา
302 Redirect ไม่ส่งผ่าน “Link Juice” เท่า 301 และอาจทำให้ Google ยังคง Index หน้าเดิมแทนหน้าใหม่
ตัวอย่างโค้ด .htaccess
Redirect 302 /sale-page.html
https://www.example.com/special-offer/
307 Redirect
307 Redirect คล้ายกับ 302 แต่รักษาวิธีการส่งข้อมูล (Method) เดิมไว้ หากร้องขอด้วยวิธี POST หรือ PUT ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง URL ใหม่ด้วยวิธีเดิม
เหมาะสำหรับการ Redirect API หรือฟอร์มที่ส่งข้อมูลแบบ POST ซึ่งต้องการรักษาข้อมูลที่กรอกไว้
ตัวอย่างการตั้งค่าบน Node.js
res.redirect(307, ‘/new-form-endpoint’);
308 Redirect
308 Redirect เป็นเวอร์ชันถาวรของ 307 คือเป็นการเปลี่ยนเส้นทางถาวรที่รักษาวิธีการส่งข้อมูลเดิมไว้ เหมาะสำหรับการย้าย API Endpoint หรือหน้ารับข้อมูลแบบถาวร
Redirect 308 /api/v1/users https://www.example.com/api/v2/users
410 Redirect
แท้จริงแล้ว 410 ไม่ใช่ Redirect แต่เป็นรหัสสถานะที่บ่งบอกว่าเนื้อหาถูกลบออกอย่างถาวรและจะไม่มีหน้าทดแทน ใช้เมื่อต้องการบอกให้ Google หยุด Index หน้านั้นโดยสิ้นเชิง เช่น สินค้าที่เลิกผลิต บทความที่ล้าสมัย หรือโปรโมชันที่หมดอายุไปแล้ว
RewriteEngine On
RewriteRule ^old-promotion$ – [G,L]
Meta Refresh และ JavaScript Redirect
นอกจาก Redirect ระดับ Server แล้ว ยังมีวิธีทำ Redirect บนหน้าเว็บ
Meta Refresh – ใช้ HTML meta tag ที่บอกให้เบราว์เซอร์โหลดหน้าใหม่หลังจากเวลาที่กำหนด
<meta http-equiv=”refresh”
content=”5;url=https://www.example.com/new-page/”>
โค้ดข้างต้นจะ Redirect หลังจาก 5 วินาที
JavaScript Redirect – ใช้ JavaScript เพื่อเปลี่ยนหน้า
window.location.href = “https://www.example.com/new-page/”;
ทั้งสองวิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมสำหรับ SEO เนื่องจากช้ากว่า Server-side Redirect และบางครั้ง Search Engine อาจไม่ติดตาม นอกจากนี้ผู้ใช้อาจปิด JavaScript หรือเห็นหน้าเว็บเดิมชั่วขณะก่อน Redirect
ควรใช้เฉพาะกรณีที่ไม่สามารถเข้าถึงการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ได้เท่านั้น
Redirect ส่งผลต่อ SEO อย่างไร?
อันดับใน Google และ Page Authority
Redirect โดยเฉพาะ 301 มีบทบาทสำคัญในการรักษาคุณค่า SEO เมื่อต้องเปลี่ยนแปลง URL
เมื่อหน้าเว็บสร้างความน่าเชื่อถือผ่าน Backlink คุณภาพสูง การใช้ 301 Redirect ช่วยให้ “Link Equity” หรือคุณค่าเหล่านั้นถูกส่งต่อไปยัง URL ใหม่ หากไม่ทำ Redirect เมื่อเปลี่ยน URL Google จะมองว่าเป็นคนละหน้า และอันดับที่คุณสร้างมาอาจหายไปชั่วข้ามคืน
ความเร็วเว็บไซต์ และประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)
แม้ Redirect จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่การใช้มากเกินไปหรือไม่เหมาะสมอาจส่งผลเสียต่อความเร็วเว็บไซต์
แต่ละ Redirect เพิ่มเวลาโหลดเพราะเบราว์เซอร์ต้องส่งคำขอใหม่ ยิ่งมี Redirect Chain (การ Redirect หลายครั้งต่อเนื่องกัน) ยิ่งทำให้เว็บช้าลง
Google ให้ความสำคัญกับความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นอย่างมาก และความเร็วที่ลดลงจาก Redirect ที่ไม่จำเป็นอาจส่งผลต่ออันดับของคุณได้
การสูญเสียลิงก์ (Link Equity)
แม้ 301 Redirect จะส่งผ่านคุณค่า SEO ส่วนใหญ่ แต่ยังมีการสูญเสียบางส่วนเสมอ ยิ่งมี Redirect Chain มากเท่าไร ยิ่งสูญเสียมากขึ้นเท่านั้น
เช่น หากมี Redirect Chain แบบนี้
URL A -> URL B -> URL C -> URL D
คุณค่า SEO จาก URL A ที่ส่งไปถึง URL D จะน้อยกว่าการ Redirect โดยตรงจาก A ไป D อย่างมาก
ดังนั้นควรพยายามทำ Redirect แบบตรงไปตรงมา หลีกเลี่ยง Chain หรือ Loop ที่ไม่จำเป็น
วิธีใช้ Redirect อย่างถูกต้อง
การตั้งค่า Redirect บน .htaccess (สำหรับเว็บไซต์ Apache)
สำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ Apache เซิร์ฟเวอร์ การตั้งค่า Redirect มักทำผ่านไฟล์ .htaccess
301 Redirect หน้าเดียว:
Redirect 301 /old-page.html https://www.example.com/new-page/
301 Redirect ทั้งโดเมน
RewriteEngine On
RewriteCond %{HTTP_HOST} ^oldsite.com [NC,OR]
RewriteCond %{HTTP_HOST} ^www.oldsite.com [NC]
RewriteRule ^(.*)$ https://www.newsite.com/$1 [L,R=301]
301 Redirect จาก HTTP ไป HTTPS
RewriteEngine On
RewriteCond %{HTTPS} off
RewriteRule ^(.*)$ https://%{HTTP_HOST}%{REQUEST_URI} [L,R=301]
Redirect โฟลเดอร์ทั้งหมด
RedirectMatch 301 ^/old-folder/(.*)$ https://www.example.com/new-folder/$1
หลังจากแก้ไขไฟล์ .htaccess อย่าลืมบันทึกและอัปโหลดกลับไปยังรูทไดเรกทอรีของเว็บไซต์ จากนั้นทดสอบว่าการ Redirect ทำงานถูกต้อง
การตั้งค่า Redirect บน WordPress
WordPress มีวิธีตั้งค่า Redirect หลายวิธี ทั้งใช้ปลั๊กอินหรือแก้ไขไฟล์ .htaccess โดยตรง
วิธีใช้ปลั๊กอิน Redirection:
ติดตั้งและเปิดใช้งานปลั๊กอิน Redirection
1.ไปที่ Tools > Redirection
2.ในแท็บ “Add new redirection” กรอก
- Source URL: URL เดิมที่ต้องการ Redirect (เช่น /old-post/)
- Target URL: URL ปลายทาง (เช่น /new-post/)
3.เลือก “Redirected Code” เป็น 301 Permanent
4.คลิก “Add Redirect”
วิธีใช้ปลั๊กอิน Yoast SEO
- ไปที่หน้าแก้ไขโพสต์หรือเพจ
- เลื่อนลงไปที่ส่วน Yoast SEO
- คลิกที่ไอคอนเฟือง
- เลือกแท็บ “Advanced”
- ในช่อง “301 Redirect” ใส่ URL ที่คุณต้องการ Redirect ไป
การตรวจสอบ Redirect ด้วยเครื่องมือ SEO
การตรวจสอบ Redirect เป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานถูกต้อง เครื่องมือที่แนะนำมีดังนี้
- Screaming Frog SEO Spider – เครื่องมือยอดนิยมที่ช่วยตรวจสอบ Redirect บนเว็บไซต์ ค้นหา Redirect Chain และ Loop
- ดาวน์โหลดและติดตั้ง Screaming Frog
- ป้อนโดเมนของคุณ
- ไปที่ “Response Codes” เพื่อดูรายการของ 301, 302 และรหัสอื่น ๆ
- ตรวจสอบ Redirect Chains ได้ที่แท็บ “Redirection Chains”
- Google Search Console – ช่วยค้นหาข้อผิดพลาดการเข้าถึงและปัญหา Redirect
- ไปที่ “Coverage” เพื่อดูหน้าที่ Google พบปัญหา
- ตรวจสอบรายงาน “Excluded” เพื่อหาหน้าที่ถูก Redirect
- Online Redirect Checker – เครื่องมือออนไลน์เช่น httpstatus.io หรือ redirectdetective.com
- ป้อน URL ที่ต้องการตรวจสอบ
- เครื่องมือจะแสดงเส้นทางการ Redirect ทั้งหมด
- ตรวจสอบรหัสสถานะ HTTP และจำนวนครั้งที่ Redirect
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำ Redirect
Redirect Chain และ Redirect Loop
Redirect Chain คือการเปลี่ยนเส้นทางต่อเนื่องหลายครั้ง เช่น URL A ไป B ไป C และต่อไปยัง D ซึ่งส่งผลเสียหลายประการ ดังนี้
- เพิ่มเวลาโหลดหน้าเว็บอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเบราว์เซอร์ต้องประมวลผลคำขอหลายครั้ง
- สูญเสียคุณค่า SEO ในแต่ละขั้นของการ Redirect แม้แต่ 301 ก็ไม่ส่งผ่านคุณค่าทั้งหมด
- Google มีข้อจำกัดในการติดตาม Redirect ไม่เกิน 5 ครั้งติดต่อกัน หากมากกว่านั้นอาจทำให้ไม่ถูก Index
ตัวอย่างของ Redirect Chain ที่ควรหลีกเลี่ยง
example.com/page1 → example.com/page2 → example.com/page3 → example.com/final-page
ควรแก้ไขเป็น
example.com/page1 → example.com/final-page
example.com/page2 → example.com/final-page
example.com/page3 → example.com/final-page
Redirect Loop คือเมื่อการ Redirect วนกลับมาที่จุดเริ่มต้นหรือวนเป็นวงกลม เช่น
example.com/pageA → example.com/pageB → example.com/pageA
ผลลัพธ์คือเบราว์เซอร์จะแสดงข้อผิดพลาด “too many redirects” หรือ “redirect loop detected” ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ และ Search Engine จะหยุดการ Crawl หน้านั้น
วิธีตรวจสอบ Redirect Chain และ Loop
- ใช้เครื่องมืออย่าง Screaming Frog SEO Spider
- ตรวจสอบด้วย Chrome DevTools (Network tab)
- ใช้เว็บไซต์ตรวจสอบออนไลน์เช่น redirect-checker.org
ลิงก์เสีย และการเปลี่ยน URL โดยไม่ Redirect
ความผิดพลาดที่พบบ่อยอีกประการคือการเปลี่ยนแปลง URL โดยไม่ทำ Redirect ซึ่งนำไปสู่
ลิงก์เสีย (Broken Links) ที่ส่งผลกระทบร้ายแรง
- ประสบการณ์ผู้ใช้แย่ลง เมื่อคลิกลิงก์แล้วเจอหน้า 404
- อัตราตีกลับ (Bounce Rate) สูงขึ้น ซึ่งส่งสัญญาณลบต่อ Google
- สูญเสียคุณค่า SEO จาก Backlink ที่เคยมีมาถึงหน้านั้น
- เสียโอกาสในการขายหรือแปลงลูกค้า
การเปลี่ยน URL โดยไม่ Redirect มักเกิดในสถานการณ์เหล่านี้
- การปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่โดยไม่ทำแผน Redirect
- การย้ายเนื้อหาไปยังหมวดหมู่ใหม่
- การปรับโครงสร้าง URL เพื่อ SEO โดยไม่คำนึงถึง URL เดิม
- การเปลี่ยนระบบ CMS
วิธีป้องกันปัญหา
จัดทำแผน Redirect ก่อนปรับปรุงเว็บไซต์
- ทำรายการ URL เก่าทั้งหมด
- กำหนด URL ใหม่ที่จะ Redirect ไป
- ตั้งค่า 301 Redirect สำหรับทุก URL
1 ตรวจสอบ Backlink ก่อนเปลี่ยนแปลง
- ใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs หรือ Moz ตรวจสอบว่าหน้าไหนมี Backlink มูลค่าสูง
- ให้ความสำคัญกับการ Redirect หน้าเหล่านี้เป็นพิเศษ
2 เฝ้าระวังหลังปรับปรุง
- ตรวจสอบรายงาน 404 ใน Google Search Console
- ติดตั้งระบบแจ้งเตือนเมื่อพบลิงก์เสีย
- ทำ Redirect เพิ่มเติมเมื่อพบหน้า 404 ที่มีคนเข้าชมบ่อย
สรุป
Redirect เป็นเครื่องมือสำคัญในการบำรุงรักษาเว็บไซต์และกลยุทธ์ SEO การทำความเข้าใจและใช้งานอย่างถูกต้องสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากต่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์คุณ
การเลือกใช้ประเภท Redirect ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการ
- 301 Redirect เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการเปลี่ยนแปลงถาวร เช่น เปลี่ยนโดเมน ปรับ-โครงสร้าง URL หรือรวมเนื้อหา
- 302 Redirect เหมาะสำหรับการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว โปรโมชัน หรือการทดสอบ
- 307 และ 308 มีประโยชน์สำหรับการรักษาวิธีการส่งข้อมูล (POST, PUT)
กุญแจสู่ความสำเร็จในการทำ Redirect คือ
- วางแผนล่วงหน้า – จัดทำแผนที่ URL เก่าและใหม่ก่อนปรับเปลี่ยนเว็บไซต์
- ทำให้ตรงไปตรงมา – หลีกเลี่ยง Redirect Chain และ Loop
- ตรวจสอบสม่ำเสมอ – ใช้เครื่องมือเพื่อค้นหาและแก้ไขปัญหา Redirect
- ติดตามประสิทธิภาพ – สังเกตการเปลี่ยนแปลงอันดับ SEO และการ Index หลังทำ Redirect
จำไว้ว่า แม้ Redirect จะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเปลี่ยนแปลง URL แต่โครงสร้าง URL ที่วางแผนมาอย่างดีตั้งแต่แรกจะช่วยลดความจำเป็นในการทำ Redirect ในอนาคต
การลงทุนเวลาในการทำ Redirect อย่างถูกต้องจะช่วยรักษาคุณค่า SEO ที่คุณสร้างมา ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ และรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจออนไลน์คุณในระยะยาว
หากเว็บไซต์ของคุณไม่มี Traffic เข้ามาเลย ดูไม่น่าใช้งาน หรือต้องการทำเว็บไซต์ใหม่ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าของคุณ สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของ Yes Web Design Studio ได้เลย เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทย รับทำเว็บไซต์ครบวงจร ซึ่งรวมไปถึงบริการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์ด้วยเช่นกัน
Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)