Cloudflare คืออะไร? ทําไมเว็บไซต์ควรใช้ วิธีติดตั้งและใช้งาน

บทความโดย Yes Web Design Studio

Cloudflare คืออะไร? ทําไมเว็บไซต์ควรใช้ วิธีติดตั้งและใช้งาน
Table of Contents

หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ ก็คงต้องการให้เว็บของตนเองโหลดเร็ว ปลอดภัย และทำงานได้อย่างต่อเนื่อง แต่การทำให้เว็บไซต์มีคุณสมบัติเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน นี่คือเหตุผลที่ Cloudflare กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ดูแลเว็บไซต์ทั่วโลก และบทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Cloudflare ว่ามันคืออะไร และสำคัญต่อคนทำเว็บไซต์แค่ไหน

 

 

Cloudflare คืออะไร?

 

Cloudflare คืออะไร?

 

Cloudflare เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มอบบริการด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพสำหรับเว็บไซต์ผ่านระบบคลาวด์ โดยแก่นหลักของ Cloudflare คือการทำหน้าที่เป็นชั้นกลางระหว่างผู้เข้าชมเว็บไซต์กับเซิร์ฟเวอร์ต้นทางของคุณ ช่วยกรองทราฟฟิก ปรับแต่งประสิทธิภาพ และป้องกันภัยคุกคามก่อนที่จะถึงเซิร์ฟเวอร์ของคุณ

 

รูปแบบการทำงานของ Cloudflare

Cloudflare ทำงานผ่านเทคโนโลยีหลัก 3 ประเภทดังนี้

 

1. Reverse Proxy

เมื่อผู้ใช้พยายามเข้าถึงเว็บไซต์ที่ใช้ Cloudflare การเชื่อมต่อจะผ่าน Cloudflare ก่อนที่จะไปถึงเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง กระบวนการนี้ช่วยให้ Cloudflare สามารถตรวจสอบและจัดการทราฟฟิกได้ ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ต้นทางโดยตรง ช่วยเพิ่มความปลอดภัย สามารถกรองทราฟฟิกที่เป็นอันตรายก่อนถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ ทำให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

2. Content Delivery Network (CDN)

Cloudflare มีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์กระจายอยู่ทั่วโลกมากกว่า 275 เมืองใน 100 ประเทศ เมื่อผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ เนื้อหาจะถูกส่งมอบจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้มากที่สุด ส่งผลให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นเนื่องจากระยะทางในการส่งข้อมูลสั้นลง ช่วยลดภาระของเซิร์ฟเวอร์หลัก และเว็บไซต์ก็ยังคงทำงานได้แม้ในช่วงที่มีการเข้าชมสูง

 

3. DNS (Domain Name System) 

Cloudflare มีบริการ DNS ที่รวดเร็วและปลอดภัย ช่วยแปลงชื่อโดเมนเป็น IP address ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ช่วยลดเวลาในการโหลดเว็บไซต์ด้วยเทคโนโลยี DNS ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้วยการป้องกันการโจมตีแบบ DNS poisoning และมีความเสถียรสูงด้วยเครือข่ายที่กระจายตัวทั่วโลก

 

อ่านบทความเพิ่มเติม : Domain name คืออะไร มีอะไรบ้าง? พร้อมวิธีจดโดเมนง่าย ๆ

 

บริการที่ Cloudflare ให้

Cloudflare มีบริการหลักที่ช่วยปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณในหลายด้าน

 

CDN (Content Delivery Network)

นอกจากจะช่วยกระจายเนื้อหาแล้ว CDN ของ Cloudflare ยังมีเทคโนโลยีการบีบอัดและปรับแต่งรูปภาพอัตโนมัติ ลดขนาดไฟล์โดยไม่กระทบต่อคุณภาพที่มองเห็นได้ และเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ

 

Firewall

Cloudflare มีระบบไฟร์วอลล์ที่ปรับตัวได้ ปกป้องเว็บไซต์จากการโจมตีหลากหลายรูปแบบ ดังนี้

  • Web Application Firewall (WAF) ป้องกันการโจมตีแบบ SQL injection และ XSS
  • IP Firewall ช่วยบล็อกทราฟฟิกจาก IP หรือประเทศที่ต้องการ
  • Rate limiting ป้องกันการโจมตีแบบ brute force

 

SSL/TLS

Cloudflare มอบใบรับรอง SSL ฟรีที่ช่วยเข้ารหัสการสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์ ทำให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มีความปลอดภัยเว็บไซต์ ได้เครื่องหมาย “ปลอดภัย” บนเบราว์เซอร์ ไปจนถึงด้านการทำ SEO เพราะสามารถช่วยดันเว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้นเนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS

 

1.1.1.1 With WARP

Cloudflare ยังให้บริการ DNS resolver ที่ชื่อ 1.1.1.1 และแอปพลิเคชัน WARP ที่ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งมีคุณสมบัติคือเร็วกว่า DNS resolver ทั่วไป ไม่บันทึกข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ และ WARP ก็ช่วยเพิ่มการเข้ารหัสการเชื่อมต่อเพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น

 

 

Cloudflare มีประโยชน์ยังไง?

 

Cloudflare มีประโยชน์ยังไง?

 

เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์

ความเร็วของเว็บไซต์มีผลโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอันดับใน Google Cloudflare ช่วยเพิ่มความเร็วได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ

 

การแคชข้อมูล (Caching)

Cloudflare จัดเก็บสำเนาของเนื้อหาเว็บไซต์ไว้ในเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก เมื่อมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ พวกเขาจะได้รับเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด ไม่จำเป็นต้องร้องขอจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทางทุกครั้ง

 

การปรับแต่งไฟล์

Cloudflare ช่วยปรับแต่งไฟล์ให้เล็กลงโดยอัตโนมัติ ดังนี้

  • การบีบอัด HTML, CSS, และ JavaScript
  • การปรับขนาดและคุณภาพรูปภาพให้เหมาะสมกับอุปกรณ์
  • การนำ HTTP/2 และ HTTP/3 มาใช้เพื่อการรับส่งข้อมูลที่เร็วขึ้น

 

การลดเวลาตอบสนอง

ด้วยเทคโนโลยี Argo Smart Routing ของ Cloudflare เส้นทางการส่งข้อมูลจะถูกเลือกอย่างชาญฉลาด เพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดของเครือข่าย

 

ปกป้องเว็บไซต์จากการโจมตี DDoS

การโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service) สามารถทำให้เว็บไซต์ล่มได้โดยการสร้างทราฟฟิกจำนวนมาก ซึ่ง Cloudflare มีความสามารถในการป้องกันดังนี้

 

การป้องกันอัตโนมัติ – Cloudflare ตรวจจับและบล็อกการโจมตี DDoS โดยอัตโนมัติ โดยที่ผู้ใช้งานปกติยังสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ตามปกติ

 

ขนาดเครือข่ายที่ใหญ่ – เครือข่ายของ Cloudflare มีขนาดใหญ่พอที่จะรับมือกับการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่ที่สุดได้ โดยกระจายทราฟฟิกไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งทั่วโลก

 

การปรับตัวตามภัยคุกคามใหม่ ๆ – Cloudflare วิเคราะห์การโจมตีจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาการป้องกันให้ทันสมัยอยู่เสมอ

 

ลด Bandwidth Server ด้วยการ Cache

ค่าใช้จ่ายในการใช้แบนด์วิดท์สามารถเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเว็บไซต์ที่มีการเข้าชมสูง Cloudflare ช่วยลดการใช้แบนด์วิดท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

 

การแคชเนื้อหาคงที่ – ไฟล์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น รูปภาพ CSS และ JavaScript จะถูกแคชไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ของ Cloudflare ลดการร้องขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง

 

การตั้งค่าระยะเวลาการแคช – คุณสามารถกำหนดระยะเวลาการแคชสำหรับเนื้อหาแต่ละประเภท ช่วยให้การใช้แบนด์วิดท์มีประสิทธิภาพสูงสุด

 

การล้างแคชอัตโนมัติ – Cloudflare สามารถล้างแคชโดยอัตโนมัติเมื่อคุณอัปเดตเนื้อหาลงบนเว็บไซต์  ช่วยให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาล่าสุดเสมอ

 

มี SSL ฟรี เพิ่มความน่าเชื่อถือ

ใบรับรอง SSL เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ Cloudflare มอบ SSL ฟรีที่มีประโยชน์หลายประการ เช่น

 

การเข้ารหัสข้อมูล – SSL ช่วยเข้ารหัสข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์ ปกป้องข้อมูลสำคัญจากการดักจับ

 

สัญลักษณ์ความปลอดภัย – เว็บไซต์ที่มี SSL จะแสดงไอคอนกุญแจหรือคำว่า “Secure” บนเบราว์เซอร์ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้

 

ประโยชน์ด้าน SEO – Google ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเว็บไซต์ การใช้ SSL จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่ดีบน Google

 

 

Cloudflare เหมาะกับเว็บไซต์แบบใด

 

เว็บไซต์ธุรกิจ

เว็บไซต์ธุรกิจต้องการภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี Cloudflare ช่วยได้ด้วย

 

การสร้างความประทับใจแรก – เว็บไซต์ที่โหลดเร็วสร้างความประทับใจแรกที่ดี ลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้า

 

ความน่าเชื่อถือ – การมี SSL และการป้องกันการโจมตีช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยเมื่อทำธุรกรรมบนเว็บไซต์ของคุณ

 

ความพร้อมใช้งานสูง – Cloudflare ช่วยให้เว็บไซต์ธุรกิจพร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง แม้ในช่วงที่มีการเข้าชมสูงหรือมีการโจมตี

 

E-Commerce

เว็บไซต์ E-Commerce มีความต้องการพิเศษเนื่องจากมีการทำธุรกรรมและจัดการข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า

 

ความปลอดภัยในการชำระเงิน – การเข้ารหัส SSL ช่วยปกป้องข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า สร้างความมั่นใจในการชำระเงิน

 

การรองรับปริมาณการเข้าชมสูง – ในช่วงเทศกาลหรือโปรโมชั่นพิเศษ เว็บไซต์ E-Commerce อาจมีการเข้าชมสูงกว่าปกติมาก Cloudflare ช่วยรองรับปริมาณการเข้าชมเหล่านี้ได้

 

การลดเวลาในการโหลดหน้า – ลูกค้าออนไลน์มักไม่อดทนรอ เว็บไซต์ที่โหลดช้าอาจทำให้เสียโอกาสในการขาย Cloudflare ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้า เพิ่มอัตราการแปลงเป็นการซื้อ

 

เว็บข่าวหรือบล็อกที่มีคนเข้าเยอะ

เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงบ่อยและมีการเข้าชมสูงจะได้รับประโยชน์จาก Cloudflare เป็นพิเศษ โดยมีปัจจัยดังนี้

 

การรองรับการเข้าชมแบบฉับพลัน – เว็บข่าวอาจมีการเข้าชมพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมีข่าวสำคัญ Cloudflare ช่วยรองรับการเข้าชมเหล่านี้โดยไม่ทำให้เว็บไซต์ล่ม

 

การปรับปรุงประสิทธิภาพของเนื้อหา – Cloudflare ช่วยปรับแต่งรูปภาพและวิดีโอให้โหลดเร็วขึ้น ช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาได้รวดเร็ว

 

การแคชอัจฉริยะ – Cloudflare สามารถแคชเนื้อหาอย่างชาญฉลาด โดยยังคงแสดงข่าวล่าสุดได้อย่างถูกต้อง

 

 

วิธีสมัครและติดตั้ง Cloudflare กับเว็บไซต์

 

วิธีสมัครและติดตั้ง Cloudflare กับเว็บไซต์

 

ขั้นตอนการสมัครใช้งาน

  1. สร้างบัญชี Cloudflare – เข้าไปที่ Cloudflare.com และคลิกที่ “Sign Up” กรอกอีเมลและรหัสผ่านที่ต้องการ จากนั้นยืนยันอีเมลของคุณ
  2. เลือกแผนการใช้งาน – Cloudflare มีหลายแผนให้เลือก ตั้งแต่แผนฟรีไปจนถึงแผนสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ แผนฟรีเหมาะสำหรับเว็บไซต์ส่วนตัวหรือธุรกิจขนาดเล็ก ในขณะที่แผนพรีเมียมมีฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับเว็บไซต์ที่มีความต้องการเฉพาะ
  3. เตรียมข้อมูลโดเมน – ก่อนเพิ่มโดเมนเข้าสู่ Cloudflare คุณควรมีข้อมูลต่อไปนี้
  • ชื่อโดเมนที่ต้องการใช้งานกับ Cloudflare
  • การเข้าถึงการจัดการ DNS ของโดเมนปัจจุบัน
  • รายการ DNS records ปัจจุบัน (ถ้ามี)

 

การเพิ่มโดเมนเข้าสู่ Cloudflare

หลังจากสมัครบัญชีแล้ว คุณสามารถเพิ่มโดเมนได้ดังนี้

 

  1. เพิ่มโดเมนในแดชบอร์ด

จากหน้าแดชบอร์ด คลิกที่ “Add a Site” และป้อนโดเมนของคุณ เช่น “yourdomain.com” จากนั้นคลิก “Add Site”

 

  1. เลือกแพ็คเกจ

เลือกแพ็คเกจที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ แพ็คเกจฟรีมีคุณสมบัติพื้นฐานที่เพียงพอสำหรับเว็บไซต์ส่วนใหญ่

 

  1. ตรวจสอบ DNS Records

Cloudflare จะสแกนและแสดง DNS records ที่มีอยู่แล้วของโดเมนคุณ ตรวจสอบความถูกต้องและแก้ไขหากจำเป็น คุณสามารถเพิ่ม DNS records ใหม่ได้ในขั้นตอนนี้

 

  1. ตรวจสอบการตั้งค่า

ตรวจสอบการตั้งค่าที่ Cloudflare แนะนำ และปรับแต่งตามความต้องการ

 

การเปลี่ยน Nameserver ไปยัง Cloudflare

เพื่อให้ Cloudflare เริ่มทำงานกับโดเมนของคุณ คุณต้องเปลี่ยน nameservers

 

  1. บันทึก Nameservers ของ Cloudflare

Cloudflare จะแสดง nameservers ที่คุณต้องใช้ โดยทั่วไปจะมีรูปแบบเป็น

  • ns1.cloudflare.com
  • ns2.cloudflare.com

 

  1. เปลี่ยน Nameservers ที่ผู้ให้บริการโดเมน

เข้าสู่เว็บไซต์ของผู้ให้บริการโดเมนของคุณ (เช่น GoDaddy, Namecheap, หรือ Name.com) และเปลี่ยน nameservers เป็นของ Cloudflare

 

  1. ยืนยันการเปลี่ยนแปลง

ยืนยันการเปลี่ยนแปลงและรอการอัปเดต การเปลี่ยนแปลง nameservers อาจใช้เวลาถึง 24 ชั่วโมงในการแพร่กระจายทั่วอินเทอร์เน็ต แต่มักจะเร็วกว่านั้น

ตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่อ

หลังจากเปลี่ยน nameservers แล้ว คุณต้องตรวจสอบว่า Cloudflare ทำงานอย่างถูกต้อง

 

  1. ตรวจสอบสถานะในแดชบอร์ด

ในแดชบอร์ดของ Cloudflare สถานะโดเมนจะเปลี่ยนจาก “Pending” เป็น “Active” เมื่อ nameservers ได้รับการอัปเดตเรียบร้อยแล้ว

 

  1. ใช้เครื่องมือตรวจสอบ

คุณสามารถใช้เครื่องมือออนไลน์เช่น whatsmydns.net เพื่อตรวจสอบว่า nameservers ของโดเมนได้เปลี่ยนเป็นของ Cloudflare แล้ว

 

  1. ทดสอบเว็บไซต์

เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเพื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างทำงานได้ปกติ หากมีปัญหา คุณสามารถตรวจสอบการตั้งค่าใน Cloudflare หรือติดต่อฝ่ายสนับสนุน

 

 

การตั้งค่าพื้นฐานที่ควรรู้ใน Cloudflare

เมื่อเชื่อมต่อโดเมนกับ Cloudflare เรียบร้อยแล้ว มาทำความรู้จักกับการตั้งค่าสำคัญที่จะช่วยปรับแต่งเว็บไซต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

การตั้งค่า DNS

DNS หรือ Domain Name System เปรียบเสมือนสมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อโดเมนให้เป็น IP address เพื่อให้เบราว์เซอร์สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ การตั้งค่า DNS ใน Cloudflare เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญมาก:

 

การจัดการ DNS Records

ใน Cloudflare คุณสามารถเพิ่ม แก้ไข หรือลบ DNS records ได้ง่าย โดยประเภทหลัก ๆ มีดังนี้

A Record – ชี้โดเมนไปยัง IPv4 address

AAAA Record – ชี้โดเมนไปยัง IPv6 address

CNAME Record – สร้างชื่อที่เป็นนามแฝงของโดเมนอื่น (alias)

MX Record – ระบุเซิร์ฟเวอร์อีเมลสำหรับโดเมนของคุณ

TXT Record – เก็บข้อความที่อ่านได้ มักใช้สำหรับการยืนยันความเป็นเจ้าของโดเมน

 

การตั้งค่า Proxy Status

ข้อดีของ Cloudflare อยู่ที่ระบบ Proxy ที่ช่วยกรองทราฟฟิกก่อนถึงเซิร์ฟเวอร์ของคุณ ใน DNS dashboard คุณจะเห็นไอคอนเมฆสองประเภท:

เมฆสีส้ม – เปิดใช้งาน Proxy ทราฟฟิกจะผ่าน Cloudflare ก่อนถึงเซิร์ฟเวอร์ของคุณ ได้รับประโยชน์ด้านความเร็วและความปลอดภัย

เมฆสีเทา – ปิดใช้งาน Proxy ทราฟฟิกไปยังเซิร์ฟเวอร์โดยตรง เหมาะสำหรับบริการบางประเภทที่ต้องการการเชื่อมต่อโดยตรง เช่น อีเมลหรือ FTP

 

การใช้งาน CNAME Flattening

Cloudflare มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า CNAME Flattening ซึ่งช่วยให้คุณสามารถใช้ CNAME ที่ apex domain (เช่น example.com แทนที่จะเป็น www.example.com) ได้ ซึ่งโดยปกติแล้วไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐาน DNS

 

การเปิดใช้งาน SSL/TLS

SSL/TLS เป็นโปรโตคอลที่ช่วยเข้ารหัสการสื่อสารระหว่างเว็บเบราว์เซอร์ของผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์ การตั้งค่าที่เหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ปลอดภัยยิ่งขึ้น

 

ระดับความปลอดภัย SSL/TLS

Cloudflare มีตัวเลือกระดับความปลอดภัยให้เลือก 4 ระดับ

 

Off – ไม่มีการเข้ารหัส (ไม่แนะนำ)

Flexible – เข้ารหัสระหว่างผู้ใช้กับ Cloudflare แต่ไม่มีการเข้ารหัสระหว่าง Cloudflare กับเซิร์ฟเวอร์ของคุณ

Full – เข้ารหัสทั้งหมด แต่ไม่ตรวจสอบใบรับรองบนเซิร์ฟเวอร์ของคุณ

Full (Strict) – เข้ารหัสทั้งหมดและตรวจสอบความถูกต้องของใบรับรองบนเซิร์ฟเวอร์ของคุณ (แนะนำสำหรับความปลอดภัยสูงสุด)

 

การบังคับใช้ HTTPS

คุณสามารถตั้งค่าให้ Cloudflare เปลี่ยนการเชื่อมต่อ HTTP ให้เป็น HTTPS โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้มั่นใจว่าผู้ใช้ทุกคนจะเข้าถึงเว็บไซต์ผ่านการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยเสมอ

 

HTTP Strict Transport Security (HSTS)

HSTS เป็นฟีเจอร์ความปลอดภัยที่บอกเบราว์เซอร์ว่าควรเข้าถึงเว็บไซต์ผ่าน HTTPS เท่านั้น ลดความเสี่ยงจากการโจมตีแบบ downgrade

 

การเปิดใช้งาน Firewall Rules

Firewall Rules ใน Cloudflare ช่วยให้คุณสามารถควบคุมการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้อย่างละเอียด ป้องกันภัยคุกคามและการโจมตีรูปแบบต่าง ๆ

 

การสร้าง Firewall Rule พื้นฐาน

คุณสามารถสร้างกฎไฟร์วอลล์ตามเงื่อนไขที่หลากหลาย เช่น

IP Address – บล็อกหรืออนุญาตทราฟฟิกจาก IP address หรือช่วง IP ที่ระบุ

ประเทศ – จำกัดการเข้าถึงตามประเทศต้นทาง

User Agent – กรองตาม browser หรืออุปกรณ์ที่ใช้เข้าชม

URI Path – กำหนดกฎเฉพาะสำหรับหน้าหรือเส้นทางเฉพาะในเว็บไซต์

 

การตั้งค่า Security Level

Cloudflare มีระดับความปลอดภัยที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งคุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม

Essentially Off – บล็อกทราฟฟิกที่เป็นภัยคุกคามน้อยที่สุด

Low – บล็อกทราฟฟิกที่เป็นภัยคุกคามที่ชัดเจน

Medium – บล็อกทราฟฟิกที่น่าสงสัยและเป็นภัยคุกคาม

High – บล็อกทราฟฟิกที่น่าสงสัยทั้งหมด (อาจบล็อกผู้ใช้ปกติบางราย)

I’m Under Attack – เพิ่มการป้องกันสูงสุด ใช้ในกรณีที่กำลังถูกโจมตี

 

การจัดการ Bot Protection

Cloudflare มีระบบป้องกัน bot ที่ช่วยแยกแยะระหว่างผู้เข้าชมที่เป็นมนุษย์และ bot โดยสามารถตั้งค่าให้อนุญาต bot ที่ดี เช่น search engine crawlers คั้งค่าบล็อก bot ที่เป็นอันตราย เช่น scrapers หรือ spam bots หรือต้องการการยืนยันเพิ่มเติมสำหรับทราฟฟิกที่น่าสงสัย

 

การใช้ Page Rules เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

Page Rules ช่วยให้คุณสามารถกำหนดการตั้งค่าเฉพาะสำหรับ URL หรือกลุ่ม URL ต่าง ๆ ช่วยปรับแต่งการทำงานของ Cloudflare ให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละส่วนในเว็บไซต์

 

ตัวอย่างการใช้งาน Page Rules

Cache Level – ปรับระดับการแคชสำหรับหน้าต่าง ๆ เช่น แคชทุกอย่างสำหรับหน้าที่มีเนื้อหาคงที่ หรือปิดการแคชสำหรับหน้าที่มีเนื้อหาไดนามิก

Browser Cache TTL – กำหนดระยะเวลาที่เบราว์เซอร์ของผู้ใช้จะเก็บแคชเนื้อหาไว้

Forwarding URL– สร้างการ redirect จาก URL หนึ่งไปยังอีก URL หนึ่ง

SSL – กำหนดการตั้งค่า SSL เฉพาะสำหรับ URL บางส่วน

Disable Apps – ปิดการใช้งานแอปพลิเคชัน Cloudflare บางตัวสำหรับ URL ที่ระบุ

 

การจัดลำดับ Page Rules

Page Rules จะทำงานตามลำดับจากบนลงล่าง โดยเมื่อมีกฎที่ตรงกับ URL แล้ว Cloudflare จะหยุดประมวลผลกฎอื่น ๆ ดังนั้นควรจัดลำดับกฎให้เหมาะสม เช่นวางกฎที่เฉพาะเจาะจงไว้ด้านบน หรือวางกฎที่กว้างกว่าไว้ด้านล่าง

 

ข้อจำกัดของ Page Rules

  • แผนฟรีมี Page Rules จำกัดเพียง 3 กฎเท่านั้น
  • ควรใช้ให้คุ้มค่าที่สุดกับหน้าที่มีความสำคัญ
  • กฎต้องตรงกับ URL ที่ระบุเท่านั้น ไม่สามารถกำหนดตามปัจจัยอื่น ๆ เช่น User Agent หรือ IP Address

 

 

ข้อดี-ข้อเสียของการใช้ Cloudflare

การพิจารณาใช้ Cloudflare ควรคำนึงถึงทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของเว็บไซต์

 

ข้อดี 

ด้านประสิทธิภาพ

Cloudflare สามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ได้อย่างเห็นได้ชัด เช่นความเร็วที่เพิ่มขึ้น ความเสถียร การประหยัดทรัพยากร และ Global Reach ที่มีเครือข่ายทั่วโลกทำให้ผู้ใช้จากทุกประเทศเข้าถึงเว็บไซต์ได้รวดเร็ว

 

ด้านความปลอดภัย

Cloudflare มอบการป้องกันระดับสูงที่อัปเดตตลอดเวลา เช่น

 

การป้องกัน DDoS – ป้องกันการโจมตีแบบ DDoS ทุกรูปแบบโดยอัตโนมัติ

WAF (Web Application Firewall) – ป้องกันการโจมตีแอปพลิเคชันเว็บแบบต่าง ๆ

Bot Management – แยกแยะและจัดการกับ bot ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

SSL ฟรี – เพิ่มความปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่อโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

การอัปเดตอัตโนมัติ – การป้องกันได้รับการอัปเดตเพื่อรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ

 

แผนฟรี

Cloudflare มอบคุณสมบัติมากมายในแผนฟรี เช่น

 

CDN ทั่วโลก – เครือข่ายการส่งมอบเนื้อหาทั่วโลก

การป้องกัน DDoS พื้นฐาน – ป้องกันการโจมตีส่วนใหญ่ได้

SSL ฟรี – ใบรับรอง SSL แบบใช้งานได้จริง

DNS Management – ระบบจัดการ DNS ที่มีประสิทธิภาพ

Page Rules จำกัด – 3 กฎสำหรับแผนฟรี

 

ข้อเสีย

แม้ Cloudflare จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณา

 

ความซับซ้อนในการตั้งค่า

Cloudflare ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจระบบและการตั้งค่าต่าง ๆ ซึ่งการตั้งค่าบางอย่างอาจส่งผลกระทบต่อกันโดยไม่คาดคิด และการแก้ไขปัญหาอาจมีความซับซ้อนเพราะมีระบบคั่นกลางระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์

 

การพึ่งพาบริการภายนอก

คุณต้องพึ่งพา Cloudflare ในการจัดการทราฟฟิก ซึ่งหาก Cloudflare มีปัญหา เว็บไซต์ของคุณก็อาจได้รับผลกระทบไปด้วย และถ้าต้องการเปลี่ยนไปใช้บริการอื่น อาจมีความยุ่งยากในการถ่ายโอน

 

ข้อจำกัดของแผนฟรี

การสนับสนุนในแผนฟรีอาจไม่รวดเร็วเท่าแผนพรีเมียม เพราะแผนฟรีมีข้อจำกัดด้านจำนวนคำขอ และฟีเจอร์หลายอย่าง เช่น Image Optimization และ Load Balancing มีเฉพาะในแผนพรีเมียม

 

 

สรุป

Cloudflare เป็นบริการที่ทรงพลังสำหรับเว็บไซต์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ส่วนตัว บล็อก เว็บธุรกิจ หรือแพลตฟอร์ม E-Commerce ขนาดใหญ่ ด้วยการทำหน้าที่เป็นชั้นกลางระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์ของคุณ Cloudflare ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ เพิ่มความปลอดภัย และลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

หากคุณกำลังมองหาทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้านการรับทำเว็บไซต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าของคุณ Yes Web Design Studio พร้อมช่วยคุณ เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทยที่ให้บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress และรับทําเว็บไซต์ e-commerce ครบวงจร รวมไปถึงบริการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์ด้วยเช่นกัน

Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

มีโปรเจกต์ในใจแล้วใช่ไหม ?