GDPR คือ อะไร? กฎหมายคุ้มครองข้อมูลที่คนทำเว็บไซต์ควรรู้

บทความโดย Yes Web Design Studio

GDPR คือ อะไร? กฎหมายคุ้มครองข้อมูลที่คนทำเว็บไซต์ควรรู้
Table of Contents

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลกลายเป็นทรัพยากรสำคัญ เจ้าของเว็บไซต์และผู้ประกอบการออนไลน์จำเป็นต้องเข้าใจกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลระดับโลก โดยเฉพาะ GDPR ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจออนไลน์แม้อยู่นอกสหภาพยุโรป บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับ GDPR ตั้งแต่หลักการพื้นฐาน ไปจนถึงแนวทางปฏิบัติที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์และธุรกิจออนไลน์

 

 

GDPR คืออะไร?

 

GDPR คืออะไร?

 

GDPR (General Data Protection Regulation) คือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรปที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 แทนที่ Data Protection Directive ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2538 กฎหมายนี้เกิดขึ้นเพราะจำเป็นต้องมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัยและรองรับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเน้นไปที่การคุ้มครองสิทธิของพลเมืองในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง

 

กฎหมายฉบับนี้บังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยียม บัลแกเรีย โครเอเชีย ไซปรัส สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอร์แลนด์ อิตาลี ลัตเวีย ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส โรมาเนีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย สเปน สวีเดน รวมทั้งสิ้น 27 ประเทศ

 

ประเด็นสำคัญคือ GDPR ไม่ได้จำกัดขอบเขตแค่ธุรกิจที่ตั้งอยู่ในสหภาพยุโรปเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงองค์กรทั่วโลกที่มีการเก็บหรือประมวลผลข้อมูลของพลเมืองสหภาพยุโรป ทำให้กฎหมายนี้มีผลกระทบในวงกว้างต่อธุรกิจออนไลน์ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย

 

 

วัตถุประสงค์ของ GDPR

GDPR ถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์หลักสองประการ

 

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้

ในโลกที่ข้อมูลส่วนบุคคลถูกเก็บรวบรวมและใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง GDPR มุ่งสร้างมาตรฐานการปกป้องข้อมูลที่เข้มงวด โดยให้อำนาจเจ้าของข้อมูลควบคุมว่าใครสามารถเข้าถึง เก็บรักษา หรือใช้ข้อมูลของพวกเขาได้บ้าง

 

กฎหมายนี้เข้มงวดเป็นพิเศษกับ Sensitive Data หรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล ความคิดเห็นทางการเมือง ข้อมูลสุขภาพ และข้อมูลทางการเงิน โดยกำหนดเงื่อนไขพิเศษในการประมวลผลข้อมูลประเภทนี้

 

เพิ่มความโปร่งใสในการจัดเก็บและใช้งานข้อมูล

GDPR บังคับให้องค์กรต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบอย่างชัดเจนว่ามีการเก็บข้อมูลอะไรบ้าง นำไปใช้ทำอะไร และเก็บไว้นานแค่ไหน รวมถึงต้องขอความยินยอมจากผู้ใช้ก่อนเก็บข้อมูล โดยจะต้องเป็นความยินยอมโดยสมัครใจ ชัดเจน และมีหลักฐานการให้ความยินยอม

 

นอกจากนี้ องค์กรต้องตอบสนองต่อคำขอเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นการขอเข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บ หรือการขอลบข้อมูล

 

 

หลักการสำคัญของ GDPR (The 7 Principles)

 

หลักการสำคัญของ GDPR (The 7 Principles)

รูปภาพจาก : UserCentrics

 

GDPR วางกรอบการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลผ่านหลักการ 7 ประการ ซึ่งเป็นเสาหลักของกฎหมายฉบับนี้

 

ความชอบด้วยกฎหมาย ความเป็นธรรม และความโปร่งใส – Lawfulness, Fairness, and Transparency

องค์กรต้องประมวลผลข้อมูลอย่างถูกกฎหมาย เป็นธรรม และโปร่งใส โดยผู้ใช้ต้องสามารถเข้าใจได้ว่าข้อมูลของพวกเขาจะถูกใช้อย่างไร

 

ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ต้องมีนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) ที่เขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือ และเข้าถึงได้ง่าย

 

การจำกัดวัตถุประสงค์ – Purpose Limitation

ข้อมูลต้องถูกเก็บเพื่อวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน และไม่นำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง

 

ตัวอย่างเช่น หากคุณเก็บอีเมลของผู้ใช้เพื่อจัดส่งจดหมายข่าว คุณไม่สามารถนำอีเมลนั้นไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น การขายให้กับบริษัทโฆษณา โดยไม่ได้รับความยินยอมเพิ่มเติม

 

การเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น – Data Minimisation

องค์กรควรเก็บเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต่อวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้เท่านั้น ไม่เก็บข้อมูลมากเกินความจำเป็น

 

ตัวอย่างเช่น หากต้องการส่งอีเมลยืนยันการสั่งซื้อสินค้า คุณจำเป็นต้องขอเฉพาะชื่อและอีเมลของลูกค้า ไม่จำเป็นต้องขอข้อมูลอื่น เช่น วันเกิดหรือเบอร์โทรศัพท์

 

ความถูกต้อง – Accuracy

ข้อมูลที่จัดเก็บต้องถูกต้องและเป็นปัจจุบัน องค์กรต้องมีมาตรการในการตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องอยู่เสมอ

 

ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ควรมีระบบให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและแก้ไขข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้ หรือมีการส่งอีเมลยืนยันความถูกต้องของข้อมูลเป็นระยะ

 

การจำกัดระยะเวลาจัดเก็บ – Storage Limitation

ข้อมูลต้องถูกเก็บไว้ไม่นานเกินความจำเป็น และต้องถูกลบหรือทำให้ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้เมื่อหมดความจำเป็น

 

ตัวอย่างเช่น หากคุณเก็บข้อมูลลูกค้าที่เลิกใช้บริการแล้ว คุณควรกำหนดนโยบายการลบข้อมูลหลังจากระยะเวลาหนึ่ง เช่น 1-2 ปี หลังจากที่ลูกค้าไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบริการของคุณ

 

ความสมบูรณ์และการรักษาความลับ – Integrity and Confidentiality

ข้อมูลต้องได้รับการปกป้องจากการประมวลผลโดยไม่ได้รับอนุญาต การสูญหาย หรือความเสียหาย โดยใช้มาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสม

 

ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ควรใช้การเข้ารหัส SSL/TLS สำหรับการส่งข้อมูล มีระบบป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ และจำกัดการเข้าถึงข้อมูลสำหรับพนักงานเฉพาะคนที่จำเป็นต้องใช้งานเท่านั้น

 

ความรับผิดชอบ – Accountability 

องค์กรต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติตามหลักการทั้งหมดข้างต้น และสามารถแสดงหลักฐานการปฏิบัติตามได้

 

ตัวอย่างเช่น เก็บบันทึกกิจกรรมการประมวลผลข้อมูล โดยมีนโยบายและกระบวนการคุ้มครองข้อมูลที่ชัดเจน และมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลหากจำเป็น

 

 

สิทธิของเจ้าของข้อมูลตาม GDPR

 

สิทธิของเจ้าของข้อมูลตาม GDPR

 

GDPR มอบสิทธิให้กับเจ้าของข้อมูล เพื่อให้อำนาจในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง ซึ่งสิทธิ์ต่าง ๆ มีดังนี้

 

สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล (Right of Access)

เจ้าของข้อมูลมีสิทธิรับทราบว่าข้อมูลส่วนบุคคลใดของพวกเขาถูกประมวลผล และขอสำเนาข้อมูลเหล่านั้นได้ โดยองค์กรต้องตอบสนองต่อคำขอเข้าถึงข้อมูลภายใน 1 เดือน และโดยทั่วไปแล้วต้องไม่คิดค่าธรรมเนียมในการให้ข้อมูล

 

สิทธิในการลบข้อมูล (Right to Erasure)

รู้จักกันในชื่อ สิทธิที่จะถูกลืม หรือ Right to be Forgotten โดยที่เจ้าของข้อมูลสามารถขอให้ลบข้อมูลส่วนบุคคลได้ในบางกรณี เช่น

  • ข้อมูลไม่จำเป็นต้องเก็บรวบรวมอีกต่อไป
  • เจ้าของข้อมูลถอนความยินยอม
  • เจ้าของข้อมูลคัดค้านการประมวลผลและไม่มีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะดำเนินการต่อ
  • ข้อมูลถูกประมวลผลอย่างผิดกฎหมาย

 

สิทธิในการคัดค้าน (Right to Object)

เจ้าของข้อมูลมีสิทธิคัดค้านการประมวลผลข้อมูลในบางกรณี โดยเฉพาะการตลาดทางตรง การวิจัย หรือสถิติ เมื่อมีการคัดค้านการประมวลผลเพื่อการตลาดทางตรง องค์กรต้องหยุดประมวลผลข้อมูลทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น

 

สิทธิในการแก้ไขข้อมูล (Right to Rectification)

เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งองค์กรต้องตอบสนองต่อคำขอภายใน 1 เดือน และต้องแจ้งบุคคลที่สามที่ได้รับข้อมูลไปแล้วด้วย

 

สิทธิในการพกพาข้อมูล (Data Portability)

เจ้าของข้อมูลสามารถขอรับข้อมูลส่วนบุคคลของตนในรูปแบบที่อ่านได้โดยเครื่อง (machine-readable format) และสามารถส่งต่อข้อมูลนั้นไปยังผู้ให้บริการรายอื่นได้อย่างปลอดภัยและสะดวก

 

สิทธิในการจำกัดการประมวลผลข้อมูล (Right to Restrict Processing)

เจ้าของข้อมูลสามารถร้องขอให้ผู้ควบคุมข้อมูล “ระงับการใช้งาน” หรือ “จำกัดการประมวลผล” ข้อมูลส่วนบุคคลของตนได้ชั่วคราว

 

 

ใครต้องปฏิบัติตาม GDPR?

หลายธุรกิจอาจไม่ตระหนักว่าตนเองอยู่ภายใต้ข้อบังคับของ GDPR แม้จะไม่ได้ตั้งอยู่ในยุโรป

 

เว็บไซต์หรือธุรกิจที่ให้บริการใน EU

หากคุณมีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้ในสหภาพยุโรป จะต้องปฏิบัติตาม GDPR เช่น เว็บไซตืหรือธุรกิจที่มีภาษาของประเทศในสหภาพยุโรป มีการรับชำระเงินในสกุลเงินยูโร มีโดเมนระดับบนสุด (Top-level domain) ของประเทศในสหภาพยุโรป เช่น .de, .fr หรือมีการโฆษณาที่เจาะกลุ่มไปยังผู้ใช้ในสหภาพยุโรป

 

ธุรกิจที่เก็บข้อมูลของพลเมืองใน EU

แม้ว่าธุรกิจของคุณจะไม่ได้ตั้งอยู่ในสหภาพยุโรป แต่หากคุณเก็บหรือประมวลผลข้อมูลของพลเมืองสหภาพยุโรป ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตาม GDPR เช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในไทยที่ขายสินค้าให้ลูกค้าในยุโรป หรือเว็บไซต์ท่องเที่ยวไทยที่มีนักท่องเที่ยวจากยุโรปใช้บริการ

 

หากไม่ปฏิบัติตาม GDPR จะเกิดอะไรขึ้น?

การละเมิด GDPR อาจนำไปสู่บทลงโทษที่รุนแรง ดังนี้

  • ค่าปรับสูงสุดถึง 20 ล้านยูโร หรือ 4% ของรายได้ทั่วโลกในปีก่อนหน้า (แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) สำหรับการละเมิดร้ายแรง
  • ค่าปรับสูงสุด 10 ล้านยูโร หรือ 2% ของรายได้ทั่วโลกในปีก่อนหน้า สำหรับการละเมิดที่ไม่ร้ายแรง

 

นอกจากค่าปรับแล้ว ยังอาจเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจของลูกค้า ซึ่งยากต่อการประเมินมูลค่า

 

 

เว็บไซต์ต้องทำอย่างไรให้สอดคล้องกับ GDPR

การปฏิบัติตาม GDPR อาจดูเป็นเรื่องซับซ้อน แต่สามารถแบ่งเป็นขั้นตอนที่สามารถทำตามได้ง่าย ๆ ดังนี้ 

 

การจัดทำ Cookie Consent และ Privacy Policy

เว็บไซต์ต้องมีระบบการขอความยินยอมการใช้คุกกี้ (Cookie Consent) ที่ชัดเจน โดย

  • แสดงแบนเนอร์คุกกี้เมื่อผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ครั้งแรก
  • แจ้งประเภทของคุกกี้ที่ใช้อย่างชัดเจน 
  • มีตัวเลือกให้ปฏิเสธคุกกี้ที่ไม่จำเป็น
  • ไม่ใช้การตั้งค่าเริ่มต้นให้ยอมรับทุกคุกกี้

 

นอกจากนี้ต้องมีนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) ที่เขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ระบุข้อมูลที่เก็บรวบรวม อธิบายวัตถุประสงค์ในการใช้ข้อมูล ระบุระยะเวลาในการเก็บข้อมูล แจ้งสิทธิของผู้ใช้ตาม GDPR รวมถึงระบุวิธีการติดต่อเพื่อใช้สิทธิตาม GDPR

 

การเก็บและใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใส

องค์กรต้องสร้างความโปร่งใสในการจัดการข้อมูล ดังนี้

  • เก็บเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต่อวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้
  • แจ้งให้ผู้ใช้ทราบเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ข้อมูลของพวกเขา
  • ขอความยินยอมใหม่หากต้องการใช้ข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ได้ระบุไว้เดิม
  • บันทึกความยินยอมและการใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบ

 

การจัดการคำร้องขอจากเจ้าของข้อมูล

เว็บไซต์ต้องมีระบบรองรับการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล

  • สร้างช่องทางให้ผู้ใช้ส่งคำขอเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลได้สะดวก
  • มีกระบวนการตรวจสอบตัวตนของผู้ขอใช้สิทธิ
  • กำหนดผู้รับผิดชอบและขั้นตอนการจัดการคำขอ
  • ตอบสนองต่อคำขอภายในระยะเวลาที่กำหนด (โดยทั่วไปคือ 1 เดือน)
  • บันทึกการดำเนินการตามคำขอ

 

การเตรียมระบบความปลอดภัยและการแจ้งข้อมูลรั่วไหล

องค์กรต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น ใช้รหัสในการเข้าถึงข้อมูล จำกัดการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะผู้ที่จำเป็น ปรับปรุงระบบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ และทดสอบความปลอดภัยของระบบเป็นประจำ

 

หากเกิดการรั่วไหลของข้อมูล (Data Breach) ทำยังไงได้บ้าง?

หากมีการรั่วไหลของข้อมูล จะต้องแจ้งหน่วยงานกำกับดูแลภายใน 72 ชั่วโมง รวมถึงแจ้งเจ้าของข้อมูลหากการรั่วไหลอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อสิทธิและเสรีภาพของพวกเขา และบันทึกรายละเอียดการรั่วไหลและมาตรการแก้ไข

 

 

GDPR กับ PDPA ของไทยต่างกันยังไง?

ประเทศไทยมี พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act – PDPA) ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ GDPR แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ

 

ความเหมือน

  • ทั้งสองกฎหมายให้ความสำคัญกับการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
  • มีหลักการพื้นฐานที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูล
  • ให้สิทธิพื้นฐานแก่เจ้าของข้อมูล เช่น สิทธิในการเข้าถึง แก้ไข และลบข้อมูล
  • มีบทลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม

 

ความแตกต่าง

ขอบเขตการบังคับใช้ – GDPR มีขอบเขตครอบคลุมทั่วโลกหากมีการเก็บข้อมูลพลเมืองยุโรป ขณะที่ PDPA มุ่งเน้นการคุ้มครองข้อมูลของคนไทยเป็นหลัก

 

บทลงโทษ – GDPR มีบทลงโทษที่สูงกว่ามาก (สูงสุด 4% ของรายได้ทั่วโลก) เทียบกับ PDPA ที่มีโทษปรับสูงสุด 5 ล้านบาท

 

องค์กรกำกับดูแล – GDPR มีหน่วยงานกำกับดูแลที่เข้มแข็งและมีประสบการณ์มากกว่า ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแล PDPA ของไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

 

ายละเอียดข้อกำหนด – GDPR มีรายละเอียดและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนกว่า ขณะที่ PDPA มีข้อกำหนดที่กว้างกว่าและยังต้องรอกฎหมายลูกอีกหลายฉบับ

 

การแจ้งเตือนข้อมูลรั่วไหล – GDPR กำหนดให้แจ้งภายใน 72 ชั่วโมง แต่ PDPA ไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่ชัดเจน เพียงระบุว่าต้องแจ้ง “โดยไม่ชักช้า”

 

 

ธุรกิจไทยนำ GDPR มาปรับใช้ยังไงได้บ้าง?

แม้ว่าธุรกิจไทยอาจมุ่งเน้นการปฏิบัติตาม PDPA เป็นหลัก แต่การศึกษาและนำแนวทางจาก GDPR มาปรับใช้มีประโยชน์อย่างมาก

 

ยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูล

การปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวดของ GDPR ทำให้ธุรกิจมีความพร้อมรองรับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลทั่วโลก และสร้างความไว้วางใจกับลูกค้า เมื่อธุรกิจไทยเริ่มขยายตัวสู่ตลาดต่างประเทศ การมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลในระดับสากลจะเป็นจุดแข็งสำคัญ

 

สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนบุคคล

GDPR ไม่ใช่เพียงกฎระเบียบทางเทคนิค แต่เป็นแนวคิดที่ควรถูกปลูกฝังเป็นวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งธุรกิจไทยสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้วยการสร้างวัฒนธรรม “Privacy by Design” ซึ่งคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของข้อมูลตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ

 

นอกจากนี้การพัฒนาบุคลากรให้ตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และฝึกอบรมให้พวกเขาเข้าใจกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ดี จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

 

มองการคุ้มครองข้อมูลเป็นโอกาสทางธุรกิจ

แทนที่จะมองว่าการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเป็นภาระ ธุรกิจไทยควรมองเป็นโอกาสในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการนำเสนอนโยบายความเป็นส่วนตัวที่โปร่งใสและเป็นมิตรกับผู้ใช้ หรือทบทวนและปรับปรุงกระบวนการจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าบนพื้นฐานของความไว้วางใจ

 

ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้น การแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องข้อมูลของพวกเขาจะกลายเป็นจุดขายที่สำคัญ

 

 

สรุป

GDPR ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั่วโลก กฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการจัดการข้อมูลในยุโรป แต่ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

 

สำหรับเว็บไซต์และธุรกิจออนไลน์ การปฏิบัติตาม GDPR ไม่ควรมองเป็นเพียงการปฏิบัติตามข้อบังคับเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษ แต่ควรมองเป็นโอกาสในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจ สร้างความไว้วางใจกับลูกค้า และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

 

หากคุณกำลังมองหาความช่วยเหลือในการพัฒนาเว็บไซต์หรือการตลาดดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจของคุณ เราขอแนะนำให้คุณติดต่อ Yes Web Design Studio เราเป็นผู้เชี่ยวชาญที่รับออกแบบเว็บไซต์ SEO และการตลาดออนไลน์ครบวงจร พร้อมช่วยพัฒนาเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับความต้องการทางธุรกิจของคุณให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

 

 

 

Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

มีโปรเจกต์ในใจแล้วใช่ไหม ?