ไขข้อสงสัย http กับ https ต่างกันอย่างไร? แบบไหนดีกว่ากัน

บทความโดย Yes Web Design Studio

ไขข้อสงสัย http กับ https ต่างกันอย่างไร? แบบไหนดีกว่ากัน
Table of Contents

ทุกครั้งที่คุณเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ คุณอาจสังเกตเห็นคำว่า “http” หรือ “https” นำหน้า URL เสมอ แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าตัวอักษรเหล่านี้มีความหมายอย่างไร และทำไมบางเว็บไซต์ใช้ http ในขณะที่อีกหลายเว็บไซต์เลือกใช้ https แทน? บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่าง http กับ https ทำความเข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญต่อความปลอดภัยออนไลน์ และเหตุใดเว็บไซต์ในยุคปัจจุบันจึงควรเลือกใช้ https มากกว่า

 

 

HTTP คืออะไร? ทำงานอย่างไร

 

HTTP คืออะไร? ทำงานอย่างไร

 

HTTP หรือ Hypertext Transfer Protocol เป็นหัวใจของการสื่อสารบนเว็บตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต โปรโตคอลนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเบราว์เซอร์ของผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูลเว็บไซต์

 

เมื่อคุณพิมพ์ URL ในเบราว์เซอร์ กระบวนการทำงานของ HTTP จะเริ่มต้นดังนี้

 

  1. เบราว์เซอร์ของคุณส่ง “HTTP Request” ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูลเว็บไซต์นั้น
  2. เซิร์ฟเวอร์รับคำขอ ประมวลผล แล้วส่ง “HTTP Response” กลับมาพร้อมข้อมูลที่ต้องการ
  3. เบราว์เซอร์แสดงผลข้อมูลที่ได้รับบนหน้าจอของคุณ

 

จุดสำคัญที่ควรทราบคือ HTTP ส่งข้อมูลในรูปแบบ “plain text” หรือข้อความธรรมดาที่ไม่มีการเข้ารหัส นั่นหมายความว่าข้อมูลทั้งหมดที่ส่งผ่าน HTTP สามารถถูกดักจับและอ่านได้โดยบุคคลที่สาม เปรียบเสมือนการส่งโปสการ์ดที่ใครก็สามารถอ่านข้อความได้ระหว่างการขนส่ง

 

อ่านบทความเพิ่มเติม : URL คืออะไร? ประกอบด้วยอะไรบ้าง อ่านยังไง พร้อมตัวอย่าง

 

 

HTTPS คืออะไร? และปลอดภัยกว่ายังไง

 

HTTPS หรือ Hypertext Transfer Protocol Secure คือเวอร์ชันที่ปลอดภัยกว่าของ HTTP ถ้า HTTP เปรียบเหมือนการส่งโปสการ์ด HTTPS ก็เหมือนการส่งจดหมายที่ถูกใส่ซองปิดผนึกอย่างแน่นหนา

 

HTTPS ทำงานโดยใช้การเข้ารหัสข้อมูลผ่านโปรโตคอลความปลอดภัยที่เรียกว่า SSL (Secure Sockets Layer) หรือ TLS (Transport Layer Security) ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ใหม่กว่า กระบวนการทำงานมีดังนี้

 

  1. เมื่อคุณเข้าเว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS เบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์จะทำการ “จับมือ” (handshake) เพื่อแลกเปลี่ยนกุญแจเข้ารหัส
  2. หลังจากการจับมือเสร็จสิ้น ข้อมูลทั้งหมดที่ส่งระหว่างเบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์จะถูกเข้ารหัส
  3. แม้ว่าจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีดักจับข้อมูลระหว่างทาง พวกเขาจะไม่สามารถอ่านข้อมูลได้เนื่องจากไม่มีกุญแจในการถอดรหัส

 

การเข้ารหัสแบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเว็บไซต์ต้องจัดการกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลการเข้าสู่ระบบ (ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน) ข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลทางการแพทย์

 

 

ความแตกต่างระหว่าง HTTP และ HTTPS

 

ความแตกต่างระหว่าง HTTP และ HTTPS

 

เมื่อเปรียบเทียบ HTTP กับ HTTPS มีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการที่ส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ออนไลน์ของผู้ใช้และเจ้าของเว็บไซต์

 

การเข้ารหัสข้อมูล

 

HTTP – ไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งในรูปแบบข้อความธรรมดา (plain text) ซึ่งทำให้ข้อมูลเสี่ยงต่อการถูกดักจับและอ่านโดยบุคคลที่สาม

 

HTTPS – ข้อมูลทั้งหมดถูกเข้ารหัสก่อนส่ง ทำให้แม้จะมีการดักจับข้อมูล ผู้ไม่ประสงค์ดีก็ไม่สามารถอ่านหรือแก้ไขข้อมูลได้

 

ความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

 

HTTP – ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตีแบบ Man-in-the-Middle ซึ่งผู้โจมตีสามารถแทรกตัวระหว่างผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์เพื่อขโมยข้อมูล หรือแก้ไขข้อมูลที่ส่ง

 

HTTPS – ลดความเสี่ยงจากการโจมตีแบบ Man-in-the-Middle เนื่องจากข้อมูลถูกเข้ารหัส และเว็บไซต์ต้องมีใบรับรองความปลอดภัย (SSL Certificate) ที่ออกโดยหน่วยงานที่เชื่อถือได้

 

ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

 

HTTP – เบราว์เซอร์สมัยใหม่มักจะแสดงเครื่องหมายเตือนว่าเว็บไซต์ไม่ปลอดภัย ทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่ไว้วางใจและอาจออกจากเว็บไซต์ทันที

 

HTTPS – บราว์เซอร์แสดงสัญลักษณ์กุญแจหรือคำว่า “ปลอดภัย” ทำให้ผู้ใช้รู้สึกมั่นใจในการใช้งานเว็บไซต์ ส่งผลให้มีโอกาสทำธุรกรรมหรือให้ข้อมูลมากขึ้น

 

การจัดอันดับใน SEO

 

โปรโตคอลเหล่านี้ค่อนข้างมีผลในการทำ SEO 

 

HTTP – เว็บไซต์ที่ใช้ HTTP จะเสียเปรียบในการจัดอันดับบน Google เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้

 

HTTPS – Google ได้ยืนยันว่า HTTPS เป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับ เว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS จะได้รับความได้เปรียบในการจัดอันดับผลการค้นหาเมื่อเทียบกับเว็บไซต์ HTTP ที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน

 

เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย HTTP กับ HTTPS

 

HTTP

 

ข้อดี – ง่ายต่อการติดตั้งและไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ประมวลผลได้เร็วกว่าเล็กน้อยเนื่องจากไม่ต้องเข้ารหัสข้อมูล

 

ข้อเสีย – ข้อมูลถูกส่งแบบไม่เข้ารหัส ซึ่งทำให้ไม่ปลอดภัย และอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาผู้ใช้ ส่งผลให้เสียเปรียบในการจัดอันดับ SEO เพราะเบราว์เซอร์สมัยใหม่มักแสดงคำเตือนความไม่ปลอดภัย

HTTPS

 

ข้อดี – ปกป้องข้อมูลผู้ใช้ด้วยการเข้ารหัส สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์และได้เปรียบในการจัดอันดับ SEO อีกทั้งยังสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้เพราะเบราว์เซอร์แสดงสถานะปลอดภัย

 

ข้อเสีย – อาจมีค่าใช้จ่ายในการซื้อใบรับรอง SSL (แม้ว่าปัจจุบันจะมีบริการฟรีเช่น Let’s Encrypt) นอกจากนี้อาจประมวลผลอาจช้ากว่าเล็กน้อยเนื่องจากต้องเข้าและถอดรหัสข้อมูล และต้องมีการดูแลและต่ออายุใบรับรอง SSL

 

 

ทำไมเว็บไซต์ควรเปลี่ยนมาใช้ HTTPS

 

ในยุคปัจจุบันที่ความปลอดภัยข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ การเปลี่ยนมาใช้ HTTPS มีเหตุผลหลายประการ

 

ความเชื่อมั่นจากผู้ใช้งาน

 

ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันมีความตระหนักเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น การเห็นสัญลักษณ์กุญแจหรือคำว่า “ปลอดภัย” ในเบราว์เซอร์ช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าเว็บไซต์นั้นมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ดี เพิ่มโอกาสในการทำธุรกรรมหรือการแชร์ข้อมูล และลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (bounce rate)

 

ป้องกันการถูกโจมตีแบบ Man-in-the-Middle

 

การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง ผู้โจมตีสามารถแทรกตัวระหว่างผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ เพื่อขโมยข้อมูลหรือแก้ไขข้อมูลที่ส่ง HTTPS ช่วยป้องกันการโจมตีรูปแบบนี้โดยการเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมด ทำให้แม้ผู้โจมตีจะดักจับข้อมูลได้ก็ไม่สามารถอ่านหรือแก้ไขได้

 

Google แนะนำให้ใช้ HTTPS

 

Google ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าต้องการให้เว็บทั้งหมดเปลี่ยนมาใช้ HTTPS และได้นำ HTTPS มาเป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับผลการค้นหา เว็บไซต์ที่ยังคงใช้ HTTP จะเสียเปรียบในการแข่งขันบนผลการค้นหา Google

 

 

วิธีตรวจสอบว่าเว็บไซต์ใช้ HTTPS หรือไม่

 

การตรวจสอบว่าเว็บไซต์ใช้ HTTPS หรือไม่ทำได้อย่างง่ายดาย

 

การดูสัญลักษณ์กุญแจบนเบราว์เซอร์

 

เบราว์เซอร์สมัยใหม่จะแสดงสัญลักษณ์กุญแจหรือคำว่า “ปลอดภัย” ในแถบ URL หากเว็บไซต์นั้นใช้ HTTPS

 

Google Chrome – จะมีสัญลักษณ์กุญแจด้านซ้ายของ URL\

Firefox – จะมีสัญลักษณ์กุญแจและชื่อองค์กรที่ออกใบรับรอง SSL

Safari – จะแสดงชื่อเว็บไซต์และสัญลักษณ์กุญแจ

 

ในทางกลับกัน หากเว็บไซต์ใช้ HTTP เบราว์เซอร์อาจแสดงข้อความเตือนว่า “ไม่ปลอดภัย” หรือ “Connection not secure”

 

เช็ค URL ว่ามี https:// หรือไม่

 

วิธีตรวจสอบที่ง่ายที่สุดคือดูที่ URL ในแถบที่อยู่ของเบราว์เซอร์

 

  • หากขึ้นต้นด้วย https:// แสดงว่าเว็บไซต์นั้นใช้โปรโตคอล HTTPS
  • หากขึ้นต้นด้วย http:// แสดงว่าเว็บไซต์นั้นยังคงใช้โปรโตคอล HTTP ซึ่งไม่ปลอดภัย

 

 

วิธีเปลี่ยนเว็บไซต์จาก HTTP เป็น HTTPS

 

หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ที่ยังใช้ HTTP การเปลี่ยนไปใช้ HTTPS เป็นขั้นตอนสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์คุณ โดยมีขั้นตอนดังนี้

 

การติดตั้ง SSL Certificate

 

ใบรับรอง SSL เป็นไฟล์ดิจิทัลที่เชื่อมโยงกุญแจเข้ารหัสกับข้อมูลองค์กรของคุณ คุณสามารถขอใบรับรอง SSL ได้จากหลายแหล่ง

 

  1. บริการฟรี เช่น Let’s Encrypt ซึ่งเป็นหน่วยงานออกใบรับรองแบบไม่แสวงหากำไร ที่มอบใบรับรอง SSL ฟรีและได้รับการยอมรับโดยเบราว์เซอร์หลักทั้งหมด
  2. ผู้ให้บริการโฮสติ้ง หลายเจ้ามีบริการ SSL ฟรีหรือราคาไม่แพงรวมอยู่ในแพ็กเกจโฮสติ้ง
  3. ผู้ให้บริการใบรับรอง SSL โดยตรง เช่น DigiCert, Comodo หรือ GeoTrust ซึ่งมักมีบริการระดับสูงกว่าและอาจมีการรับประกันหรือคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติม

 

เลือกผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้

 

เมื่อต้องเลือกผู้ให้บริการใบรับรอง SSL ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้

 

  1. ความน่าเชื่อถือและการยอมรับจากเบราว์เซอร์หลัก
  2. ระดับการเข้ารหัสและความปลอดภัย
  3. อายุการใช้งานของใบรับรอง
  4. บริการสนับสนุนลูกค้า
  5. ราคาและความคุ้มค่า

 

Redirect URLs จาก HTTP ไปยัง HTTPS

 

หลังจากติดตั้งใบรับรอง SSL แล้ว คุณควรตั้งค่าให้เว็บไซต์ของคุณ redirect จาก HTTP ไปยัง HTTPS โดยอัตโนมัติ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะเข้าถึงเวอร์ชันที่ปลอดภัยของเว็บไซต์เสมอ

 

สำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ Apache คุณสามารถเพิ่มโค้ดต่อไปนี้ในไฟล์ .htaccess

RewriteEngine On

RewriteCond %{HTTPS} off

RewriteRule ^(.*)$ https://%{HTTP_HOST}%{REQUEST_URI} [L,R=301]

 

สำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ Nginx คุณสามารถเพิ่มโค้ดต่อไปนี้ในการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์

 

server {

    listen 80;

    server_name yourdomain.com www.yourdomain.com;

    return 301 https://$host$request_uri;

}

 

หลังจากทำการตั้งค่าแล้ว คุณควรทดสอบเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าทุกหน้าทำงานถูกต้องบน HTTPS และไม่มีปัญหา “mixed content” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหน้าเว็บที่ใช้ HTTPS โหลดทรัพยากร (เช่น รูปภาพ, CSS, JavaScript) ผ่าน HTTP

 

 

สรุป

 

จากทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า HTTP และ HTTPS มีความแตกต่างที่สำคัญ โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัสข้อมูล ในยุคปัจจุบันที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น และผู้ใช้มีความตระหนักเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น การใช้ HTTPS จึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับเว็บไซต์ทุกประเภท

 

การเปลี่ยนจาก HTTP เป็น HTTPS ไม่เพียงช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือ ปรับปรุงอันดับ SEO และมอบประสบการณ์ที่ปลอดภัยให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ การลงทุนในความปลอดภัยด้วยการใช้ HTTPS จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก บล็อกเกอร์ หรือองค์กรขนาดใหญ่

 

หากคุณกำลังมองหาทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้านการรับทำเว็บไซต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าของคุณ Yes Web Design Studio พร้อมช่วยคุณ เราเป็นบริษัทเว็บดีไซน์แนวหน้าในไทยที่ให้บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress และรับทําเว็บไซต์ e-commerce ครบวงจร รวมไปถึงบริการรับทำ SEO และการตลาดออนไลน์ด้วยเช่นกัน

 

Yes Web Design Studio
Tel. : 096-879-5445
LINE : @yeswebdesign
E-mail : [email protected]
Address : ชั้น 17 อาคารวิทยกิตติ์ ถนนพญาไท วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (สถานี BTS สยาม)

มีโปรเจกต์ในใจแล้วใช่ไหม ?