ก่อนที่จะเริ่มอ่านบทความนี้
สามารถลองทดสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณ
ด้วย GTmetrix หรือ Google pageSpeed ก่อนได้นะครับ
ปัจจุบันการที่ธุรกิจมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองนั้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะในทุกวันนี้มีหลากหลายแพลทฟอร์มที่เปิดตัวมาให้เราสามารถสร้างเว็บไซต์ได้ด้วยตนเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเว็บไซต์คุณได้เปิดตัวไปแล้วนั้น คุณเคยลองเช็คความเร็วของเว็บไซต์ของคุณหรือไม่ หรือคุณเคยรู้มาก่อนหรือไม่ว่า เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพการแสดงผลมากน้อยแค่ไหน และจริงหรือไม่ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่ว่าคุณจำทำคอนเทนต์มาดีขนาดไหน แต่ถ้า pagespeed มี score ต่ำก็สามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่ปรากฏที่หน้าแรกของการค้นหาได้เช่นกัน วันนี้เราจึงมาแชร์เทคนิคดีๆที่จะช่วยเพิ่ม score pagespeed ให้เว็บไซต์คุณติดหน้าแรกของหน้าค้นหา
“จากผลสำรวจของ Crazyegg สำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ 47% ของลูกค้าคาดหวังให้เว็บไซต์โหลดเสร็จภายใน 2 วินาทีหรือน้อยกว่านั้น | 52% ของลูกค้าจะกลับเข้ามายังเว็บไซต์ที่โหลดเร็วอีก และที่สำคัญคือ 79% จะไม่กลับเข้ามาเว็บไซต์ที่โหลดช้าอีก”
ในบทความนี้จะประกอบไปด้วยหัวข้อดังนี้
- ทำไมเว็บไซต์ต้องให้ความสำคัญกับ Pagespeed\
- เครื่องมือไหนที่ใช้วัดประสิทธิภาพความเร็วเว็บไซต์ได้ดีที่สุด
- Pagespeed เกี่ยวข้องอะไรกับ SEO
- 6 เทคนิคเพิ่ม score pagespeed
- สรุป
ทำไมเว็บไซต์ต้องให้ความสำคัญกับ Pagespeed
อย่าลืมว่าวัตถุประสงค์หลักของการมีเว็บไซต์คือเพื่อเป็นช่องทางออนไลน์ให้คนเข้าถึงและมีปฏิสัมพันธ์ได้ง่ายและสะดวกขึ้น ในการเข้าถึงลักษณะนี้เราจึงเรียกว่า Traffic ของเว็บไซต์ Traffic ถือเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยที่อัลกอลิธึมของ Google จะนำเว็บไซต์ของเราไปวิเคราะห์และจัดลำดับบนหน้าของผลการค้นหาของ Google
ผมอยากให้คุณลองนึกภาพและลองจินตนาการดูว่าเวลาที่คุณต้องสั่งซื้อสินค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ ๆ หนึ่งนั้น คุณคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์นั้นและต้องใช้เวลารอเพื่อให้เนื้อหาบนเว็บไซต์แต่ละส่วนปรากฏใช้เวลานานเกินไป บางส่วนอาจจะปรากฏขึ้นมาก่อน บางส่วนอาจจะยังไม่ปรากฏ ถึงแม้ว่าอินเตอเน็ตของคุณจะมีความเร็วแค่ไหนก็ตาม ภาพก็ยังดู error อยู่ดี นี่แค่คุณลองจินตนาการก็ยังน่าหงุดหงิดขนาดนี้ เพราะผมเชื่อว่าคุณก็คงเคยมีประสบการณ์การเข้าชมเว็บไซต์ที่เนื้อโหลดช้ามากันบ้างแล้ว นั่นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องให้ความสำคัญกับ Pagespeed เพราะ
“ Pagespeed แย่ = Ranking ตก ”
เครื่องมือไหนที่ใช้เช็คประสิทธิภาพความเร็วเว็บไซต์ได้ดีที่สุด
พูดถึงเรื่องของความสำคัญของ Pagespeed ไปแล้ว หลายคนคงอยากรู้กันแล้ว ว่าใช้เครื่องตัวไหนที่สามารถวัดประสิทธิภาพความเร็วของ pagespeed ดีที่สุด ในปัจจุบันผู้ให้บริการหรือแพลทฟอร์มที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพก็มีหลากหลายเจ้าให้เราได้เลือกใช้ แต่ที่เราอยากจะแนะนำให้ลองใช้งานและเป็นตัวที่นิยมใช้งานกันก็คือ 2 ตัวนี้ Google pageSpeed และ GTmetrix ทั้งสองตัวคุณสามารถใช้งานได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่รายละเอียดการใช้งานของแต่ละอันก็มีข้อจำกัดของการใช้งานอยู่เหมือนกัน Google pageSpeed คือเครื่องมือที่ใช้ประเมินประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เป็นเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นโดย Google เปิดให้ใช้งานฟรี คุณสามารถนำลิงก์เว็บไซต์ที่ต้องการประเมินประสิทธิภาพใส่ลงไป จากนั้นก็กด Analyze เมื่อทำการกดแล้ว Google pageSpeed ก็จะแสดงผลลัพธ์ของประสิทธิภาพทั้งหมดขึ้นมาให้เรา ข้อจำกัดของ Google pageSpeed ก็คือ มันจะไม่สามารถเจาะจงพื้นที่เพื่อวัดประสิทธิภาพตามประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่นั้นๆ และข้อจำกัดอีกข้อของ Google pageSpeed ก็คือคุณไม่สามารถสร้างบัญชีเพื่อทำการแทรคเว็บไซต์ตลอดเวลา
ถัดมาคือ GTmetrix เครื่องมือวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ที่ให้คุณได้ใช้งานฟรีอีกตัว ข้อได้เปรียบของเครื่องมือตัวนี้คือ ถ้าคุณซื้อเป็นตัว Pro มันจะสามารถตั้งให้แทรคเว็บไซต์ได้ตลอดเวลาและมีประสิทธิภาพของการแทร็คที่สูงกว่า ถึงขั้นสามารถกำหนดพื้นที่เซิร์ฟเวอร์เพื่อทำการวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้ แต่การใช้งานตัวฟรีของ Google pageSpeed ก็สามารถใช้งานได้ดีไม่แพ้กันกับ GTmetrix โดยมันสามารถสามารถวัดค่า page load time ค่า total page size และ จำนวนคำขอของ HTTP ทั้งหมด จะเห็นว่าจริงๆแล้วทั้งสองตัวก็มีหน้าตาและกระบวนการวิเคราะห์ที่ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ (ตัวฟรี) เราเลยอยากจะแนะนำแบบนี้ดีกว่า
“หากคุณต้องการผลการทดสอบที่ละเอียดและสามารถติดตามผลได้ตลอดเวลา คุณควรใช้ GTmetrix – สำหรับตัว Pro”
“แต่สำหรับวัตถุประสงค์ที่ต้องการดูข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้จริงซึ่งส่งผลต่อ SEO โดยตรงคุณควรใช้ PageSpeed Insights ของ Google”
Pagespeed เกี่ยวอะไรกับ SEO
แน่นอนว่าเวลาที่คุณเข้าไปเว็บไซต์ไหนแล้ว เว็บไซต์นั้นช้าเหมือนเต่า หอยทาก หรือสล็อต คุณก็คงมีความรู้สึกว่าไม่อยากจะเปิดมันต่อไปอีกแล้ว เพราะ Pagespeed ถือเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่ Algorithm Google จะนำไปจัดอันดับบนหน้าค้นหา นอกจากนั้นแล้วการที่คนเข้ามายังเว็บไซต์และออกในเวลาอันรวดเร็ว ก็ส่งผลให้ bounce rates สูงขึ้นเช่นกัน ก็ยิ่งส่งผลเสียต่อ Performance ของเว็บไซต์อีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Pagespeed ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ SEO เพราะเจ้าตัวนี้แหละที่อาจเป็นปัญหาทำให้เว็บไซต์คุณไม่ขึ้นหน้า Google search ซักที
6 เทคนิคเพิ่ม score pagespeed
- เทคนิคที่ 1 Optimize เว็บไซต์ด้วย gzip compression เราจะต้องทำการบีบอัดโค๊ดและเข้ารหัสโค๊ดของหน้าเว็บไซต์ฝั่ง server ให้มีขนาดเล็กลง จากนั้นมันก็จะทำการส่งไปยังเบราเซอร์ที่ทำการเปิดหน้าเพจนั้นๆ ด้วยไฟล์ที่เล็กลงและนั่นก็จะทำให้เบราเซอร์นั้นๆสามารถทำให้ Pagespeed เร็วขึ้น เนื่องจากไฟล์มีขนาดเล็กลงนั่นเอง โฮสต์และเว็บเบราว์เซอร์ส่วนใหญ่จะสนับสนุนเทคนิคการบีบอัดนี้ นอกจากนี้ gzip นี้ยังสามารถลดขนาดไฟล์ข้อความของคุณได้อีกด้วย เช่นไฟล์ HTML และ CSS
- เทคนิคที่ 2 ใช้ตัวช่วย WP Smush ลดขนาดไฟล์รูปในเว็บไซต์ สำหรับการบีบอัดไฟล์รูปจะไม่สามารถใช้ Gzip ในการบีบอัดได้ เครื่องมือที่นิยมในการบีบอัดจึงเป็น WP Smush ซึ่งเป็น Plugin หนึ่งของ WordPress ที่ปรับรูปและบีบอัดไฟล์รูปให้เราโดยอัตโนมัติ โดยที่คุณภาพของรูปยังเท่าเดิม
- เทคนิคที่ 3 ลบ Plug in ที่ไม่มีประโยชน์ออกให้หมด ทราบหรือไม่ว่า WordPress มี Plugin มากกว่า 50,000 ตัว และด้วยสาเหตุนี้เราอาจจะประมาทกับการติดตั้งปลั๊กอินไว้เยอะ ๆ บนเว็บไซต์ ทั้งที่บางอันก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร และถึงแม้ว่ามันจะเป็นตัวที่ฟรีแต่การที่การที่มีปลั๊กอินมาก ๆ และไม่จำเป็น จะทำให้เว็บไซต์ของคุณประมวลผลช้า
- เทคนิคที่ 4 Host ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง จากการสำรวจพบว่า โฮสต์ที่ดีจะต้องใช้เวลาดาวน์โหลด 0.7-0.8 วินาที แต่ถ้าโฮสต์ไหนที่ช้า ๆ ก็จะใช้เวลาดับเบิ้ลขึ้นไปอีกเท่าตัวเลยที่เดียว ฉะนั้นการเลือกโฮสต์ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แน่นอนว่าเมื่อเลือกโฮสต์ขอแนะนำให้ตรวจสอบจากรีวิวเพิ่มเติมเสมอ เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่าผู้ให้บริการโฮสติ้งเหมาะสมและคุ้มค่ากับคุณหรือไม่
- เทคนิคที่ 5 ย่อขนาดไฟล์ข้อความ ถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นโดยการ Custom code คุณต้องให้โปรแกรมเมอร์เป็นคนจัดการทำให้มัน lean และ clean มากขึ้น และถ้ายิ่งเป็น WordPress แล้ว เราจะสามารถจัดการได้ง่ายมากขึ้น โดยให้คุณทำการโหลดและติดตั้งปลั๊กอินที่มีชื่อว่า WP Rocket และเลือกไฟล์ที่ต้องการย่อขนาดลง เช่น HTML CSS และ JS
- เทคนิคที่ 6 Caching หรือการคัดลอกข้อมูลซ้ำไว้หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ เพื่อเรียกใช้ในครั้งต่อไป ถ้าพูดให้เข้าใจกันง่าย ๆ คือการนำเนื้อหาเดิมที่เคยเปิดมาใช้อีกนั่นเอง ก็จะเป็นลดเวลาการเรียกข้อมูล ทำให้สามารถเปิดดูข้อมูลของหน้าเพจได้เร็วมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
สรุป
ถ้าคุณพบว่าเว็บไซต์ของคุณมี traffic ที่ลดลงถึงแม้ว่าเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณจะดีขนาดไหนก็ตาม แสดงว่าปัญหาของการที่ traffic ลดลงอาจไม่ใช่เรื่องของเนื้อหาในเว็บไซต์ แน่นอนว่า pagespeed ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่คุณจะต้องให้ความสำคัญในการแก้ไขและยิ่งอัตราของ Bounce rate สูงขึ้นอีก นั่นก็ยิ่งการันตีได้เลยว่า website คุณได้กลายเป็นสล๊อตไปแล้ว และเราเชื่อว่าหลายๆคนคงไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เราหวังว่าทั้ง 6 เทคนิคนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเร็วขึ้นและ pagespeed ดีขึ้น
ยินดีให้คำปรึกษาฟรีและพร้อมที่จะพาเว็บไซต์ของคุณติดอันดับในหน้าแรกของการค้นหา กับ Score Pagespeed ที่ดีขึ้น ด่วน!! รับจำนวนจำกัด ติดต่อเลย 096-879-5445 หรือ แอดไลน์ @yeswebdesign
————————————————————————————————————–
และช่องทางอื่นๆที่คุณก็สามารถแวะไปทักทายกันได้ที่…
Facebook : yeswebdesignstudio
Instagram : yeswebdesign_bkk
Twitter : yeswebdesignbkk
Reference
https://hostingtribunal.com/blog/speed-up-website/#gref